ความคิดเห็นที่ 1   ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ พี่ต้นเสา หรือ ข้าวสาวไห้ ที่เคยส่ง Link นึงมาให้ ซึ่งพี่ต้นบอกว่าคนนี้เป็นเสมือนอาจารย์ด้านการถ่ายภาพของพี่ต้น ซึ่งได้มารีวิว Venice เอาไว้ ทำให้ผมสามารถลอดโปรแกรมมาได้อย่างสบายใจเฉิบ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8180479/E8180479.html โดยผมมีเวลาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ราว 2 วัน 2 คืนครับ ซึ่งมีโปรแกรมคร่าวๆดังนี้ครับ 7 April  6.30  ตื่นนอนทานข้าวเช้า ---> อร่อยมากกกก คุ้มมากๆๆ เป็น Breakfast ที่ดีที่สุดในทริปนี้ล่ะ  9.30  take train 9402 to Venice --> 42 EUR/pax --> แต่ตั๋วเต็มเลยเปลี่ยนเป็นขบวน 9404 ตอน 10.30 แทนซึ่งเป็นขบวนเดียวกะที่ผมนั่งจากโรมมาที่ฟลอเร้นซ์         ดังนั้นผมเลยมีเวลาไปช๊อปปิ้งที่ตลาดนัดแทนครับ  12.30 ถึง Venice นั่งเรือไปลงที่ท่า Venezia Pier  14.00 Checkin ที่ Citta Di Milano Hotel Venice  15.00 หาของกินรองท้อง และเดินเล่นที่จตุรัส San Marco  16.00 เดินทางไปยัง สะพาน Accademia Bridge (เดินไป เพื่อชมเมือง)  17.30 ไปยัง Rialto Bridge (นั่งเรือไป)  18.30 กลับมาแถวๆ San Marco นั่ง Gondola  20.00 Twilight แถว San Marco  21.00 Dinner จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:14:06

ความคิดเห็นที่ 2   8 April  5.00 ตื่นนอน (ผมตื่นคนเดียว เพื่อนๆไม่ยอมตื่น)  5.30 ไปเดินเล่นในเมืองเก็บบรรยากาศเงียบๆ ยามเช้า  8.00 ทานอาหารเช้า และเดินเล่น (รอบสายๆ)  9.30 นั่งเรือไปยัง Murano Island  10.30 เที่ยว Murano (ขึ้นชื่อเรื่องโรงงานเป่าแก้ว)  12.00 หาของกิน  14.00 เดินทางไปยัง Burano Island (เมืองลูกกวาด เหมาะแก่การถ่าย Portrait มากๆ)  17.00 กลับ Venice Free Time  21.00 Twilight and Dinner จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:14:30

ความคิดเห็นที่ 3   Venezia Island - Queen of the Adriatic เวนีซ เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลีอยู่ในแคว้น เวนิโต้ (Veneto) โดยมีเวนีซ เป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ เมืองนี้มีประชากรไม่มากเท่าไหร่แค่ 272000 คนเท่านั้นซึ่งดูจากตัวแรกแล้วน่าจะน้อยกว่านักท่องเที่ยวในแต่ละวันเป็นแน่แท้... ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจจะเข้าใจว่าเวนีซทั้งเมืองจะต้องเป็นคลอง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เวนีซเองมีส่วนที่เป็นเมืองอยู่ที่ Mainland ด้วย แต่ส่วนที่ดังๆนั้นแท้จริงแล้วจะอยู่บนเกาะแห่งคาบสมุทร Adriatic จนได้ฉายาว่า Queen of the Adriatic นั่นเองครับ จากรูปหาเรานั่งรถไฟมานั้นจุดมุ่งหมายเราจะอยู่ที่สถานีรถไฟ Venezia Santa Lucia Railway Station  ตามจุด B ในแผนที่ ดังนั้นถ้าจะลงอย่าเผลอไปลงที่จุด A ซึ่งสถานีจะชื่อ Venezia จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:16:04

ความคิดเห็นที่ 4   Welcome to Venezia หลังจากรถไฟผ่านสถานี Venezia มากแล้ว (ซึ่งเพื่อผมบางคนทำท่าจะลง) รถไฟจะข้ามสะพานซึ่งข้ามทะเล... เพื่อไปยังเกาะกลางทะเล เพราะ เวนีซ อยู่กลางทะเลจ้า... (มีใครไม่รู้มั่งม่ะ อิอิ) หลังจากเห็นวิวแบบนี้ก็รู้ได้เลยว่า ณ บัด นาวเราได้ก้าวเข้าสู่เมืองในฝันกันแล้ววววว ปล. ชายทะเลเค้าสู้บ้านเราไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ อิอิ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:17:08

ความคิดเห็นที่ 5   การเดินทางในเวนีซ เนื่องจากเวนีซเองเป็นเมืองที่ไม่ได้มีถนนสำหรับรถวิ่ง แต่เป็นเมืองที่มีคลอง กระจายอยู่ทั่วเกาะ ดังนั้นการเดินทางหลักในเมืองนี้จะเป็นการเดินทางด้วยเรือ และ การเดินเท้า (เข้าทางหล่ะ) อิอิ ซึ่งจากข้อมูลที่คุณ go_med ให้ไว้ในกระทู้ที่ผมบอกข้างต้นจะมีราคาสำหรับเรือดังนี้ครับ   - เที่ยวเดียว 6.5 EUR   - 12 HR. 16 EUR   - 24 HR. 18 EUR   - 36 HR. 23 EUR   - 48 HR. 28 EUR   - 72 HR. 33 EUR   - 7 Days 50 EUR โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของชำทั่วไปในสถานีเลยครับ ของผมอยู่ เกือบๆ 2 วันก็เลือกซื้อแบบ 48 ชม. ได้เลยครับ และแนะนำว่าหากรู้กำหนดการที่แน่นอนก็อย่าลืมซื้อตั๋วรถไฟสำหรับขากลับไว้ด้วยนะครับ.. ของผมซื้อตั๋วไปลง มิลาน และตั๋วไป ลูเซิร์น ล่วงหน้าไว้เลยครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:17:57

ความคิดเห็นที่ 6   แต่การใช้ Pass ตามข้อมูลตะกี้ จะเป็นการใช้สำหรับ Public Transportation เท่านั้นนะครับ ซึ่งเค้าจะมีตารางการเดินเรืออยู่ให้ขอมาได้เลยครับ แต่หากว่าวันไหนเราต้องการความสบายหรือเร่งด่วน ที่เวนีซ ก็มี Speed Boat Taxi ไว้คอยบริการครับ (แต่สนนราคาอันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ) ซึ่งแน่นอนไม่มีทางได้แอ้มเงินในกระเป๋าผมเด็ดขาด จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:18:20

ความคิดเห็นที่ 7   มุ่งหน้าสู่จตุรัส San Marco โดยการเดินทางมาครั้งนี้ผมได้จองโรงแรมไว้ที่อยู่แถวๆ จตุรีส San Marco เพื่อที่จะได้เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ซึ่งจากท่าเรือที่สถานีรถไฟนั้น... จะมีเรือหลายสายที่ไปได้ ซึ่งต้องลองดูจากตารางเดินเรือครับเพราะบางสายจะวิ่งเช้า บางสายจะวิ่งกลางคืน อะไรประมาณนั้น ซึ่งการไปนั้นจะสามารถไปได้ 2 ทางคือ วนซ้าย และวนขวา เพราะเรือจะวิ่งเป็นวงกลม โดยการวนซ้ายจะเป็นการลัดเลาะผ่าน Grand Canal ไป แต่ถ้าวนขวาจะเป็นการขับเรืออ้อมออกไปที่ทะเลครับ ซึ่งหากดูที่ระยะเวลาแล้วพอกันคือราว 40 นาที ตอนที่ผมไปนั้นผมวนออกทะเล... เพราะว่า เรือมันมาก่อนแล้วเห็นมันเขียนว่าไปท่า Venezia Pier ก็กระโดดขึ้นเลย จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:19:29

ความคิดเห็นที่ 8   แต่ถ้าให้แนะนำถ้าอยากนั่งชมเมืองผมแนะนำให้นั่งวนซ้ายผ่านเข้าไปใน Grand Canal น่าจะให้บรรยากาศที่ดีกว่าครับ ซึ่งกลางวันๆ จะเห็นว่าเรือพลุกพล่านมากๆๆๆๆ วุ่นวายยิ่งกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเราเป็น 10 เท่า หาได้มีความสงบอย่างที่คิดไม่ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:19:56

ความคิดเห็นที่ 9   San Giorgio Maggiore Island แต่การที่ผมนั่งเรือวนออกทะเล (ที่เหมือนผมรีวิวออทะเลบ่อยๆ ) ก็มีวิวที่สวยไปอีกแบบหนึ่งครับ จะได้เห็นวิวของเวนีซแบบกว้างๆ ไกลๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก็ชอบนะ รูปนี้เป็นเกาะ San Giorgio Maggiore ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจตุรัส San Marco เลยครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:21:32

ความคิดเห็นที่ 10   Venezia Duomo หลังจากล่องเรืออยู่พักใหญ่ ผมก็มาถึงจตุรัส St. Mark หรือ Piazzale de San Marco แล้วครับ ไม่ต้องกลัวหลงเลย ตึกมีความเป็นเอกลักษณ์ และคุ้นตาอยู่แล้ว ถามว่าทำไมคุ้นตา ก็ไม่ยากเพราะว่า ที่จตุรัสแห่งนี้ เป็นต้นแบบในการสร้างโรงแรมชื่อดัง The Venetian นั่นเองครับ วันนี้เราจะได้มีดูของจริงกันล่ะว่ามันเป็นยังไงกันบ้าง ซึ่งโบสถ์ที่นี่ถือว่าเป็น โบสถ์ประจำเมืองหรือ Duomo ของเมืองแห่งนี้ครับ มีผู้คนจำนวนมากไฝ่ฝันที่จะมาจัดงานแต่งงาน ณ โบสถ์แห่งนี้ แล้ววันที่ผมไปถึงก็มีบ่าวสาวคู่นึงมาจัดงานแต่งงานกันด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 53 01:22:12 จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:21:50

ความคิดเห็นที่ 11   เขาวงกตแห่งเวนีซ หลังจากขึ้นจากท่าเรือผมก็จะไป Checkin ที่โรงแรมที่จองเอาไว้ครับ ด้วยความที่ว่าตอนหาโรงแรมใน google map มันมีโรงแรมอยู่ใน map เลยผมเลย print map จาก google map มาเลยกะว่ามันคงเป็นถนนๆ เหมือนเมืองๆที่ผ่านมา แต่ที่ไหนได้หามาเจอของจริง map จาก google นั้นแถบจะเขี้ยวทิ้งได้เลยครับ ตอนเดินๆ ก็อยากจะไปตีก้นคนวางผังเมืองซะเหลือเกิน โรงแรมที่ผมไปนั่นหลังจากหาอยู่พักใหญ่ ก็ถามคนแถวนั้น ได้ความว่าให้เดินๆๆๆ 3-4 ซอย เลี้ยว แล้วขึ้นสะพาน และลงมามุดอุโมงค์ก็จะถึง... ตอนแรกผมก็งงว่าอุโมงค์อะไร สุดท้ายมันเห็นช่องระหว่างตึกให้เดินเข้าไปครับ ซึ่งอีกอย่งที่อยากจะกรี๊ดคือเลขที่บ้านเค้าเรียงได้มั่วซั่วมากๆๆๆๆๆ แต่สุดท้ายผมก็ไปถึงจนได้.. ดังนั้นแนะนำว่าให้หา Map เวนีซที่ละเอียดลึกถึงละดับซอยไปเลยนะครับ อย่เอาแผนที่จาก google map ไปไม่งั้นอาจจะหลงทางได้ ปล. รูปนี้แอบก๊อปจาก FB คุณพี่กุ้ง ซึ่งไปจิ๊กรูปมาจาก FB ของคุณตั๋ง ซึ่งเป็นผู้ร่วมทริปของเราอีกที (แบบนี้เรียกว่าขโมยเป็นทอดๆ ) จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:22:25

ความคิดเห็นที่ 12   CalZone หลังจากเก็บข่วเก็บของเรียบร้อย ผมก็เดินเล่นรอบๆโรงแรมเพื่อรอเพื่อนอีก 2 คนที่หนีไปฮันนีมูน หวีดหวิว (เด๋วมีรูปให้ดูว่าหวิวขนาดไหน ) ก็เลยหาของกินกลางวัน ซึ่งก็เอาง่ายๆ เลยเอาร้านที่อยู่หน้าโรงแรมนี่แหละ Calzone อาหารที่เคยได้ยินชื่อใน Restaurant City วันนี้ได้มาเห็นหน้าตาจริงๆแล้ว....... Calzone ส่วนผสมจริงๆแล้วจะเหมือน พิซซ่า ทุกประการดังนั้นถ้าเอาแบบ ออริ. จะเป็นไส้ มะเขือเทศ และ มอสซาเราร่า และถ้าเอาแบบ advance ก็จะสามารถใส่ใส้ต่างๆ ลงไปใน Calzone ได้นั่นเอง... ซึ่งหน้าตาก็จะประมาณนี้ ออกแนวกะหรี่ปั๊บก้อนใหญ่ๆ ปล. ขอบคุณรูปจากคุณพี่กุ้ง แอบไปจิ๊กจาก FB มาอีกแล้ว เนื่องจากตัวเองไม่ได้ถ่ายมามัวแต่กินๆๆๆๆ อยู่ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:22:48

ความคิดเห็นที่ 13   Piazza San Marco ด้วยความที่ต้องรอคุณเพื่ออีก 1 คู่ผมจึงใช้เวลาในการเดิรสำรวจที่ทางแถวๆ Piazza San Marco หรือ Siant Mark Square San Marco จริงๆแล้วเป็นส่วนหนึ่งของในหก พื้นที่ของเกาะเวนีซแห่งนี้ ซึ่งกินพื้นที่ไปถึงเกาะ San Giorgio Maggiore ด้วย ซึ่งที่นี่เองมีโบสถ์ที่สวยงามอยู่แต่ว่า..... ตอนผมไปมันซ่อมไปครึ่งนึง... อยากจะหาไรไปแขว้งหัวคนคิดตารางซ่อมเจรงๆ ทริปนี้ไปไหนมันซ่อมได้ทุกที่ ชิ... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:23:14

ความคิดเห็นที่ 14   ยามบ่ายกลางเวนีซ ที่กลางจตุรีวช่วงบ่ายจะมีกีงค์เก้าอี้เหลือง และเก้าอี้แดง (ตามมาหลอกหลอนถึงอิตาลี ) มาตั้งร้านอาหารซึ่งจะมีการเล่นดนตรีสดให้ลูกค้าฟังครับ ลูกค้าก็จะมานั่งจิบเบีบร์กลางแดดกัน ซึ่งมันก็สบายนะ ด้วยความที่ว่าอากาศมันหนาวๆ มันนั่งชิวจิบเบียร์ ก็ดูมีความสุขดี แต่คงยากที่จะเห็นคนไทยมานั่งตากแดดแบบนี้ เห็นม่ะอารมณ์ชิวจริงๆ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:24:07

ความคิดเห็นที่ 15   ระหว่างถ่ายรูปอยู่ก็เจอแม่สาวคนนี้แต่งตัวชนะเลิศมากๆ... เห็นมีคนเข้าไปคุยหลายคน ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นดาราหรือเปล่า แต่คุณเพื่อนบอกว่าตอนเรามาถึงเห็นเค้าพึ่งเดินออกจากโบสถ์กะคุณสามี ก็เลยอ้อ มาแต่งงานกันที่นี่นี่เองครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:24:45

ความคิดเห็นที่ 16   คลองและกอนโดลา อย่างที่ทราบกันเวนีซเอง... จะมีคลองอยู่รอบเมืองแทนถนน และใช้เรือในการสัญจรแทนรถ และเรืออย่างนึงที่เราเห็นกันที่ The Venetian ก็คือเรือ กอนโดลา ครับ กอนโดลามีมานานแล้ว โดยกอนโดลาเป็นเรือท้องแบน ที่เค้าว่ากันว่าทรงของเรือเหมาะที่สุดกับการพายในบริเวณ Venetian Lagoon แต่เหมาะยังไงนี่ไม่รู้เหมือนกัน โดยความว่ากอนโดลา มาจากคำว่า gondolier ซึ่งหมายถึงผู้ควบคุมเรือนั่นเองครับ ซึ่งพอกาลเวลาผ่านไปด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเรือจึงกลับกลายมาเป็นพาหนะที่ใช้ในการรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยียนเมืองแห่งนี้นี่เองครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:25:02

ความคิดเห็นที่ 17   ขอซูมเข้าไปอีกรูปครับ... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:25:28

ความคิดเห็นที่ 18   จริงแล้วการถ่ายภาพที่เมืองเวนีซ ผมพบปัญหาอย่างหนึ่งในการถ่าย เนื่องจากผมไปถึงช่วงบ่ายซึ่งแสงมีเอียงๆแล้ว ดังนั้นแสงจะลงไม่ถึงตรงคลอง ซึ่งทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพที่แสง บนและล่างเท่าๆกันได้.. ซึ่งช่วงเวลาที่จะถ่ายได้จึงเป็นช่วง กลางวันๆ ที่แดดอยู่กลางหัวมากกว่า ซึ่งผมเองก็ไม่มีโอกาสนั้นในการถ่ายหรอกครับ เพราะอีกวันที่ผมอยู่ผมก็ไม่ได้อยู่ที่เกาะนี้แล้ว ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ผมคิดไว้มันถูกต้องหรือเปล่านะ 555 ดังนั้นผมจึงต้องหามุมที่แดงมันส่องลงคลองในทิศเดียวกันพอดีๆ ถึงจะได้ภาพแบบแสงสวยๆได้ ซึ่งหายากเต็มทน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:26:01

ความคิดเห็นที่ 19   หรือไม่อย่างนั้นผมก็ต้องเลี่ยงไปถ่ายภาพที่ใช้แสงสะท้อนจากน้ำแทนครับ แสงจะได้พอๆกัน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:26:25

ความคิดเห็นที่ 20   Venice Carnival Mask ของฝากที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดจากเวนีซคงหนีไม่พ้นหน้ากาก ซึ่งเดิมทีที่เมืองแห่งนี้จัดเทศกาลที่เรียกว่า Ash Wednesday อยู่ราวๆ 46 วันก่อนวัน Easter ซึ่งจะอย่ราวต้นเดือน กพ.-ต้นเดือน มีค. ขึ้นอยู่กับวัน Easter ของแต่ละปี ซึ่งประเพณีดังกล่าวได้หายไปจนกระทั้งราวปี 1970 ทางรัฐบาลของอิตาลีได้ฟื้นฟูประเพณีดังกล่าวอกีครั้ง ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดีในแง่ของนักท่องเที่ยว เท่าที่อ่านมา การที่ใช้หน้ากาปิดบังใบหน้านั้นเพื่อต้องการให้บุคคลต่างชนชั้นวรรณะกันได้เข้ามาร่วมฉลองงานอย่างเท่าเทียมกันประมาณนั้นนั่นเองครับ ซึ่งปัจจุบันหน้ากากก็กลายเป็นของฝากขึ้นชื่อจาก Venice ไปแล้วนั้นเอง แต่ถามว่าราคาถูกมั๊ย ไม่ถูกครับ ซึ่งรวมไปถึงของฝากอื่นๆ ด้วยเช่น พวงกุญแจหรือ Magnet ก็ล้วนแพงทั้งสิ้น ถ้าเป็นไปได้ควรซื้อจากเมืองอื่นมาครับ ส่วนหน้ากากหากมีเวลาไป เกาะมูราโน่ และบูราโน่ ให้ไปซื้อที่สองเกาะนั้นราคาจะย่อมเยากว่าครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:26:41

ความคิดเห็นที่ 21   ซักพักพอคุณเพื่อนอีกสองคนมาถึงก็ได้เวลาเดินทางครับ ผมได้ Map ที่แบบเป็นตรอกเป็นซอยของ Venice มาจากโรงแรม ก็เริ่มเดินทางไปยังจุดแรกที่คุณหมอ go_med พูดถึงว่าสามารถถ่ายภาพได้สวยงามตอนบ่ายนั่นก็คือ Accademia Bridge ครับ อ่านชื่อครั้งแรกๆพาลจะไปนึกถึง Maccademia ทุกทีซิน่า ซึ่งก็เดินไปมั่วบ้างหลงบ้าง แต่ก็ไม่กระโตกกระตากให้คุณเพื่อนในกลุ่มรู้ตัว บรรยากาศในเมืองก็ราวๆนี้ครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:27:10

ความคิดเห็นที่ 22   จะมีคลองให้ข้ามให้ถ่ายไปตลอดทาง บางจุดก็จะเป็นคลองที่เชื่อมออกไปทะเลบ้าง หรือไม่ก็ Grand Canal บ้างแล้วแต่จุดครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:28:13

ความคิดเห็นที่ 23   บางจุดก็จะเป็นท่าเรือลงไป ซึ่งบางคลองก็จะเป็นเส้นทางหลักของเรือ กอนโดลา ครับ ซึ่งถ้ามีเวลาก็จะสามารถรอๆ เพื่อถ่ายรูปมาได้อย่างไม่ยากเย็นนักครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:29:45

ความคิดเห็นที่ 24   Accademia Bridge Accademia Bridge ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นสะพานหลัก 1 ใน 4 สะพานที่ข้าม Grand Canal โดยที่อีก 3 สะพานก็คือ Rialto Bridge (อีกสะพานจำชื่ไม่ได้ล่ะ) จุดเด่นของสะพานแห่งนี้คือ เป็นสะพานที่สร้างจากไม้นั่นเองครับ สะพานนี้เริ่มริเริ่มจะสร้างตั้งแต่ปี 1488 แต่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้ (เพราะ wiki ไม่ยอมบอกไว้) สะพานนี้มาถูสร้างจริงๆตอนปี 1854 ซึ่งแรกๆนั้นสะพานสร้างด้วยเหล็ก และหลังจากสะพานพังลงในช่วงราวปี 1930 ถึงจะเปลี่ยนมาสร้างด้วยไม้แทนครับ ซึ่งพอผ่านไปซักพักสะพานก็เริ่มเก่าจะน่ากลัวจึงมีการบูรณัใหม่เทื่อประมาณ 25 ปีที่ผ่านมานี้เองครับ โดยชื่อ Accademia Bridge นั่นได้ชื่อมาจาก Accademia Museum ซึ่งเป็น Art Museum ซึ่งเป็น Art School ของเมืองแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ตรงแถวๆนั้นนั่นองครับ ซึ่งจริงๆแล้วการเดินทางสามารถเดินทางได้ด้วย เรือ ที่แล่นใน Grand Canal โดยมาลงที่ท่า Accademia ได้ครับ ปล. ตอนช่วงบ่ายไปมันแต่ถ่ายวิวไม่ได้ถ่ายรูปสะพานมาเลย ซึ่งจริงๆอีวันที่กลับมาผมก็เกือบลืมถ่าย นี่เป็น shot สุดท้ายที่รีบถ่ายก่อนกระโดขึ้นเรือกลับเลยครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:33:48

ความคิดเห็นที่ 25   ความรักแห่ง Accademia ไม่แน่ใจว่าผมอ่านมาจากไหนมีเรื่องเล่าเขียนไว้ว่าที่สะพานแห่งนี้ หากคู่รักคนใด มาคล้องกุญแจ และเขียนชื่อลงไป จะมีรักอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งมันก็เหมือนกับหลายๆๆๆๆๆ ที่มากๆ จนเริ่มงงว่าแท้จริงแล้วไอ้ตำนานอันนี้มันเริ่มมาจากที่ไหนกันแน่ ที่ไหน ลอกกันมา ก็ยังงงๆอยู่ แต่คิดว่าที่นี่คงไม่ใช่ต้นฉบับแน่ๆ เพราะกุญแจที่คล้องสะพานไว้มีน้อยเหลือเกินครับ ปล. แอบจิ๊กรูปจาก FB พี่กุ้งมาอีกแล้ว (เพราะมันมีน้อยจนไม่ทันสังเกตและลืมเรื่องนี้ไปแล้วมานึกได้อีกทีคอนเห็นรูป และก็ไม่ได้ถ่ายรูปมาเองด้วย ) จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:34:06

ความคิดเห็นที่ 26   Santa Maria Della Salute ที่ Accademia Bridge นั้นหากไปช่วงบ่ายจะจะสามารถเก็บภาพบริเวณทางใต้ของเกาะได้อย่างสวยงาม ซึ่งตรงมุมนั้นเองจะมีโบสถ์อยู่โบสถ์หนึ่งชื่อว่า Santa Maria Della Salute ซึ่งเป็นโบสถ์แบบโรมันคาทอลิค ซึ่งเป็นโบสถ์ระดับรองลงมาจาก Duomo มีฉายาว่า โบสถ์แห่งสุขภาพ (Church of Health) เนื่องจากช่วงปี 1629 นั้นที่เกาะแห่งนี้เกิดการระบาดของโรค กาฬโรค ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 1 ใน 3 จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:34:32

ความคิดเห็นที่ 27   ซึ่งเวลาผ่านไปยอดผู้ตายพุ่งไปสูงถึง 94000 คนในช่วงระยะเวลาประมาณ 2 ปี ทางการจึงได้ให้มีการสร้างโบสถ์ดังกล่าวขึ้นมา โดยให้ Palladio เป็นผู้ออกแบบโบสถ์ใหม่แทนที่โบสถ์เดิม แต่ในการตัดสินใจสร้างครั้งนี้นั้นได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึง Virgin Mary ซึ่งได้ฉายาว่าเป็น Lady Of Health ผู้ซึงมีส่วนสำคัญในการเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างมาก โดยจุดที่สร้างโบสถ์แห่งนี้นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สวยงามแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่าง เกาะ San Giorgio Maggiore และจตุรัส Saint Mark หลังจากสร้างโบสถ์มาโดมของโบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมือง Venice แห่งนี้เลยครับ ซึ่งหากใครได้มีโอกาสนั่งฮอ. หรือนั่งเครื่องบินผ่านมองจากฟ้าลงมาจะเห็นภาพที่สวยงามมากๆๆๆๆๆ ครับ แต่ผมก็มีบุญได้แค่มองจากภาคพื้นดินเท่านั้นหล่ะครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:37:03

ความคิดเห็นที่ 28   มาดูมุมกว้างๆ อีกซักรูปครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:37:22

ความคิดเห็นที่ 29   Punta della Dogana di Mare จากรูปตะกี้ที่ปลายสุดของเกาะ จะมีรูปปั้น (หรือเปล่า) ที่เรียกว่า Punta della Dogana di Mare อยู่ครับ ตรงนี้ถูกใช้เป็นศุลกากรของที่เมืองนี้โดยรูปปั้นข้างบนคือ รูปหล่อเทพ Atlas 2 คนกะลังแบกโลก ส่วนข้างบนเป็นเทพ Fortuna  ครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:37:44

ความคิดเห็นที่ 30   ตอนแรกกะไว้ว่าอยากจะรอพระอาทิตย์ตกแถวๆนี้ แต่ที่ไหนได้มาถึงเร็วมาก และเวลาเหลือมาก แบบมากๆๆๆๆ ก็เลยถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆๆๆๆ แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจไป Rialto Bridge ต่อเลย เลยเก็บรุปสุดท้ายก่อนขึ้นเรือมาฝากอีกรูปนึงครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:38:19

ความคิดเห็นที่ 31   แวะมาปาดไว้ก่อนค้าบบบ เดี๋ยว Review เสร็จแล้ว ... จะแวะมาชมภาพสวยๆ แบบเต็มๆตา อีกครั้งค้าบบบ จากคุณ : ต่ายน้อย (coopers2006) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:41:38

ความคิดเห็นที่ 32   ตามมาชมเมืองสวยๆครับ .... เดี้ยวพรุ่งนี้จะแวะมาชมอีกนะครับ จากคุณ : ว่าที่ลูกเรือ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:44:52

ความคิดเห็นที่ 33   สวัสดีครับคุณต่ายน้อย... เด๋วผมรีวิวเสร็จก็จะตามไปอ่านรีวิวคุณต่ายน้อยมั่งเหมือนกัน อิอิ ----------------------------------------------------------------------------- สำหรับการเดินทางไปยัง Rialto นั้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศผมก็เลือกใช้การนั่งเรือไปครับ ซึ่งก็สามารถใช้บัตรโดยสารแบบเหมาที่เราซื้อเอาไว้ขึ้นไปได้เลย โดยตรงทางลงดป๊ะเรือก็จะมีเครื่องอ่านบัตรให้ Scan ครับ ยังไงก็อย่าลืม Scan กันนะครับเพราะมีช่วงนึงพวกผมโดนนายตรวจมาตรวจบัตรด้วยครับ ซึ่งเค้าก็จะเอาไป scan กับเครื่องของเค้าว่าบัตรหมดอาบุหรือไม่ Scan ถูกต้องหรือไม่ประมาณนั้นครับ หากใครมีเวลาว่างๆ ไม่รู้จะไปไหนผมก็แนะนำว่าให้ลองนั่งเรือวนรอบๆ Grand canal นี่หล่ะครับ ได้บรรยากาศของเมืองเวนีซเป็นอย่างดีเลยครับ ซึ่งในคลองเราก็จะเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังล่องคลองด้วยกอนโดลาอยู่ครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:45:54

ความคิดเห็นที่ 34   สวัสดีครับคุณ ว่าที่ลูกเรือ แล้วจะรอนะคร้าบบบบ ----------------------------------------------------------------------------- รวมไปถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ที่ ตึกและคลอง (ทะเล) อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนจริงๆครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:47:01

ความคิดเห็นที่ 35   Rialto Bridge Rialto Bridge เป็นอีกสะพานหลักที่ข้าม Grand Canal ครับ สะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างเพื่อใช้ข้ามคลองแทนการใช้เรือซึ่งบริเวณดังกล่าวนับเป็นแหล่งค้าขายที่สำคัญอย่างมาก แรกสุดๆ สร้างด้วยหิน ต่อมาสะพานหินพัง จึงมีการสร้างใหม่ด้วยไม้เนื่องจากสร้างได้เร็วและง่ายต่อการบำรุงรักษา แต่สุดท้ายแล้วด้วยความไม่แข็งแรงของไม้สะพานจึงังมาอีกรอบทางการจึงตัดสินใจใหม่สร้างด้วยหินอีกครั้งจวบจนทุกวันนี้ครับ ซึ่งสะพานแห่งนี้นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเมือง Venice ที่ The Venetian นับไปเป็นส่วนประกอบของ Theme ในการสร้างโรงแรมด้วนั่นเอง จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:51:21

ความคิดเห็นที่ 36   ตรงสะพานนี้เสมือนเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองอีกแห่งที่จะมีร้านค้าจำนวนมากมาตั้งอยู่แถวนี้รวมถึงมีท่าเรือกอนโดล่าเต็มไปหมดซึ่ง อีท่าเรือเหล่านั้นมันมาบังมุมในการถ่ายรูปสะพานของผมเต็มไปหมด ไหนๆบังดีนักก็ถ่ายกอนโดล่ามาซะเลย จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:51:45

ความคิดเห็นที่ 37   สุดท้ายเลยปีนสะพานถ่ายวิวแทนดีกว่า แต่ด้วยความที่รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าการมาที่สะพานแห่งนี้ในช่วงบ่ายจะเกิดปัญหาในการถ่ายภาพคือ จะได้ภาพย้อนแสง แต่ทำไงได้เวลามีตอนนี้ก็ต้องมาตอนนี้ซิเนอะ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:57:06

ความคิดเห็นที่ 38   หันไปฝั่งที่ไม่ย้อนแสงก็จะเป็นโค้งของคลองพอดี ก็ได้รูปนี้มาครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:57:28

ความคิดเห็นที่ 39   เจอแล้ว แหม............มาดึกเหมือนกันเลยนะครับ ภาพสวยมากมาย ขอเป็นลูกศิษย์มั่งได้ไหมครับ จากคุณ : tummeng_in เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 01:58:13

ความคิดเห็นที่ 40   สวัสดีครับคุณตุ้มเม้ง... ขอบคุณคร้าบบบบ ว่าแต่คืนนี้มีแต่คนปล่อยรีวิวทั้งนั้นเลยนะเนี่ย ----------------------------------------------------------------------------- วันนี้มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกะเมืองเค้าอยู่เลยแทบไม่ได้ถ่ายเพื่อร่วมทริปเลย ก็ขอภาพหมูซักรูปนะครับ ถ่ายที่สะพาน Rialto แต่สะพานหายไปไหนหมดเนี่ย แต่ละคนคุณภาพคับสะพานเจรงๆ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:02:55

ความคิดเห็นที่ 41   ดูจากฟ้าแล้วยังไม่มีมีม่าว่าจะค่ำได้ง่ายๆ เลยคุยกับเพื่อนๆว่าเรากลับไปแถวที่พักแล้วไปนั่งเรือกอนโดลาเล่นดีกว่า ก็เลยกระโดดขึ้นเรือแล้วก็มุ่งกลับไปยังจตุรัส San Marco อีกครั้งครับ ระหว่างนั่งเรือกลับไปแม้จะทางเดิมแต่บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่เปลี่ยนไป เรียกว่าตอนอยู่ Venice ช่วงขึ้นเรือเพื่อนๆผมไปนั่งพักแต่ผมถ้าหากมีที่ยืนเดินได้ ผมก็จะยืนหัวเรือ ถ่ายนั้นถ่ายนี่ไปได้อย่างไม่มีเบื่อเลยหล่ะครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:03:24

ความคิดเห็นที่ 42   ผ่าน Santa Maria Della Salute อีกรอบ จากโดมสีขาว พอเริ่มเย็นแสงสาดมาโดมสีขาวก็กลายเป็นสีทองในบัดดล จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:03:54

ความคิดเห็นที่ 43   ล่องกอนโดลา หลังจากมาถึง San Macro บริเวณคลองแถวนั้นก็จะมีท่าเรือกอนโดลาอย่ เราจึงไปเจรจาก็คนพายเพื่อจะเช้าเรือล่อง Venice กัน ซึ่งผมส่งเพื่อนๆไปเจรจาผมแอบเดินถ่ายรูปแถวๆท่าเรือ ซึ่งบรรยากาศเริ่มเงียบเพราะตกเย็นแล้ว ก็ได้บรรยากาศเหวาๆ ปนโรแมนติค ดีนะเนี่ย จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:05:38

ความคิดเห็นที่ 44   หลังจากตกลงราคาได้ ได้รอบเล็ก (ครึ่งชั่วโมงมาในราคาลำละ 80 EUR) แพงมั๊ยก็รู้สึกว่าพงแต่ไหนๆก็มาแล้วก็ต้องนั่งซะหน่อยอ่ะนะ... สังเกตว่าคนรับแขกหน้าตาดีทีเดียวคุณเพื่อหลายคนแอบกรี๊ดอยากจะถ่ายรูปด้วยแต่ไม่มีใครกล้าไปขอเค้า จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:06:04

ความคิดเห็นที่ 45   ลำแรกส่งคู่ฮันนีมูนไปนั่ง จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:06:19

ความคิดเห็นที่ 46   แต่ที่นั่งคู่ไหงเป็นคู่นี้ไปได้หล่ะเนี่ย อีกสองคนที่เหลือนั่งหยังกะเป็นข้ารับใช้ให้คู่นี้แทน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:06:43

ความคิดเห็นที่ 47   ส่วนลำผมนั่งกัน 5 คน โดยสามสาวสะกิดว่าถ่ายให้หน่อย เอาแบบเห็นคนพายด้วย... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:07:28

ความคิดเห็นที่ 48   เพราะมีคนพายหน้าตาแบบนี้คุณเพื่อนเลยแอบกรี๊ด(อีกแล้ว) เลยถ่ายมาเป็นของกำนัลให้ซะหน่อย จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:12:40

ความคิดเห็นที่ 49   เรือจะวนๆในคลอง และอ้อมออกไปที่ Grand Canal โผล่มาเห็นมุมถ่าย Rialto Bridge ที่สวยมากแต่เปลี่ยนเลนส์ไม่ทันแล้ว เซตกล้องไม่ทันด้วย ได้มาแต่รูปแบบนี้ ฮือ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:13:10

ความคิดเห็นที่ 50   จากนั้นเราก็จะวนเข้าไปในคลองย่อยอีกครั้ง จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:13:52

ความคิดเห็นที่ 51   วูบเดียวผ่านไปครึ่งชั่วโมง เงินบินไปแล้ว 160 EUR โอวมายก๊อด แต่ก็เอาน่าครั้งหนึ่งในชีวิตให้รู้ว่านั่งกอนโดลามันเป็นยังไงอ่ะนะ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:14:12

ความคิดเห็นที่ 52   เย็นย่ำกลางเวนีซ แรกทีเดียวผมกะไว้ก่อนมาว่าอยากจะถ่ายภาพ Twilight ที่จตุรัส San Marco ยิ่งหากได้น้ำท่วมขึ้นมาด้วยคงสุดยอดมากๆ แต่ที่ไหนได้ช่วงที่ไปไม่มีน้ำโผล่ขึ้นมาแม้แต่หยดเดียวแถมโบสถ์ยังปิดซ่อมอีกตะหาก สุดท้ายผมเลยเดินไปที่ริมทะเล และถ่าย Twilight ไปยังเกาะ San Giorgio Maggiore ซึ่งมีโบสถ์ที่ชื่อเหมือนเกาะตั้งอยู่แทน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:17:19

ความคิดเห็นที่ 53   Church of San Giorgio Maggiore โบสถ์ San Giorgio Maggiore เป็นโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่ปี 1566 และเสร็จตอน 1610 เป็นโปส์ถสไตล์เรเนอซอง สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวใส ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ จัตุรัส San Marco และ Santa Maria Della Salute ทำมุมกันเป็น สามเหลี่ยม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสข้ามไปได้แต่ถ่ายรูปจากไกลๆเท่านั้นเองครับ รูปนี้ถ่ายตอนประมาณ สามทุ่ม เรียกว่า Twilight มาช้าขึ้นทุกวัน อย่างนึงก็เพราะผมเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆด้วย ซึ่งช่วงหน้าร้อนทางซีกโลกเหนือจะมืดช้านั่นเองครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:19:01

ความคิดเห็นที่ 54   ร้านอาหารดีๆที่บริการด้วยความเต็มใจ จริงๆแล้วระหว่างที่ผมถ่าย Twilight อยู่นั้นเพื่อนผมอีกกลุ่มนึงได้แยกไปเพื่อไปหาร้านอาหารนั่งกิน แรกทีเดียวผมกะไว้ว่าอยากไปนั่งกลางจตุรัส San Marco เพื่อจิบเบียร์ท่ามกลางลมหนาวและดาวเดือน (เวอร์จริงๆ) แต่ด้วยความที่ว่าอากาศมันหนาวมากกกก แม้จะไม่มากแต่มีลมทะเลพัดมาด้วยทำให้มันออกแนวหนาวเข้ากระดูก เพื่อนผมเลยกลับไปตายรังที่ร้านที่อยู่หน้าโรงแรม ผมจำชื่อร้านไม่ได้ แต่คนขายเป็นชาวแขก (อินเดีย มั๊ง) ขายอาหารฝรั่ง ซึ่งเป็นร้านที่ผม Recommen มากๆ เพราะบริการดีสุดๆ และอาหารก็อร่อยด้วยครับ แถมยังไม่แพงอีกต่างหาก ซึ่งจะแตกต่างอย่างมากกับอีกร้านที่ผมกินในวันพรุ่งนี้ซึ่งเดียวจะมาเม้าท์ถึงความเฮงซวยให้ฟังอีกทีครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:19:25

ความคิดเห็นที่ 55   ธรรมเนียมฝรั่ง กะ ธรรมเนียมไทย ในการกิน ด้วยความที่ว่าเราไปกันหลายคนปกติแล้วเราก็จะสั่งอาหารหลายๆอย่างมาแบ่งกันกินครับ ซึ่งรอบแรกที่สั่งไปเราสั่งไปไม่กี่อย่าง เพราะอยากดูปรมาณอาหาร และรสชาติ ก่อน ซึ่งหลังจากเราชิมแล้วพบว่าอร่อยโฮก เราถึงสั่งอาหารมาอีกจำนวนนึง ซึ่งจะแตกต่างจากฝรั่งที่เค้ามักจะสั่งจานใครจานมัน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:19:53

ความคิดเห็นที่ 56   แต่ช่วงที่อาหารชุดแรกมานั้นจำนวนจานมันน้อยกว่าจำนวนคน (เพราะผมกะเพื่อนอีก 3-4 คนตามมาทีหลังเนื่องจากไปถ่ายรูปอยู่) เราก็แบ่งๆกันกิน... ก็มีฝรั่งมารยาทเสียอยู่ โต๊ะนึง ทำเป็นหันมามอง และพูดประมาณว่าแกไม่มีเงินเลยต้องสั่งมา Share กัน (ผมไม่ได้ได้ยินเองเพราะไม่สนใจ แต่เพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลัง) จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:20:21

ความคิดเห็นที่ 57   แต่ไปๆมาๆ อาหารที่เราสั่งไป 9 คนเนี่ยมันกลับมาประมาณ 13 จาน หรือคนเฉลี่ย 1.5 จานต่อคนเลย อีฝรั่งนั่นทำหน้าจ๋อย แล้วไม่กล้าหันมามองพวกเราอีกเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะกลัวเราไปแย่งเค้ากินหรือเปล่า เป็นไงหล่ะไม่รู้จักพวกผมซะแล้วว่าเวลาไปเที่ยวเนี่ย จะมีงบมากน้อยยังไงเรื่องกินก็เป็นเรื่องใหญ่เสมอ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:20:47

ความคิดเห็นที่ 58   ... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:21:30

ความคิดเห็นที่ 59   จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:21:53

ความคิดเห็นที่ 60   ท้องร้องกันหรือยังครับ อิอิ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:22:22

ความคิดเห็นที่ 61   หลังจากกินกันเสร็จเราก็แยกย้ายกันไปนอนครับ โดยผมกะว่าจะตื่นเช้ามาเพื่อไปเดินชมเมืองในช่วงเช้าครับ ตอนแรกพยายามชวนคนอื่นๆ แต่... ไม่สำเร็จไม่มีใครร่วมอุดมการณ์กะผมซักคนให้ตายซิ.... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:22:45

ความคิดเห็นที่ 62   Good Morning Venice เข้าตื่นมาตอนแรกเกือบแล้ว เกือบจะไม่ลุกแล้วเพราะอากาศหนาวมากมาย หลังจากลุกมาก็ไปเดินเล่นที่ริมทะเล รอพระอาทิตย์ขึ้น เลยไปได้มุมถ่าย  Santa Maria Della Salute จากฝั่ง จัตุรัส San Marco ครับ จะเห็นว่าบรรยากาศเงียบมากๆ มีเรือดอนโดลาจอดอยู่ที่ท่าเต็มไปหมด.. แต่ก็ไม่ได้มีผมมาถ่ายรูปคนเดียวนะผมมองซ้ายมองขวาก็เห็นนักท่องเที่ยวหลายคน ก็ตื่นเช้าเพื่อมาเก็บภาพเหมือนกันครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:23:07

ความคิดเห็นที่ 63   โดยหลังเก็บภาพจากริมทะเลเสร็จผมก็เดินเรื่อยเปื่อยโดยมีจุดมุ่งหมายไปที่ Rialto Bridge เพื่อเก็บบรรยากศของเมืองยามเช้าครับ ซึ่งช่วงเช้าๆแบบนี้ทุกอย่างดูว่างเปล่าเงียบเหงาจริงๆครับ จรงที่เป็นทางเดินที่อยู่ข้างๆจตุรัส San Marco ซึ่งปกติตอนกลางวันคนจะมหาศาลมากๆๆๆ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:23:25

ความคิดเห็นที่ 64   ตอนเดินไป Rialto Bridge ผมก็จะดูแผนที่แล้วพยายามเดินไปตามมุมที่มีคลอง บางครั้งเดินไปก็จะเจอคลองเป็นทางตัน แบบว่าไม่มีสะพานอะไรเลย บางจุดก็เป็นสะพานบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเช้าๆแบบนี้คงไม่ต้องไปหาเรือกอนโดลามาเข้าฉากเลยครับ เพราะว่านักท่องเที่ยวก็ยังไม่ตื่น แต่ก็มีเรืออย่างอื่นแล่นไปแล่นมาโดยเฉพาะเรือส่งของ เรือเก็บขยะอะไรอย่างนั้น จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:23:51

ความคิดเห็นที่ 65   แต่ก็มีเรือ Taxi บ้างที่มาส่งนั่งท่องเที่ยวที่พร้อมจะมาโลดแล่นในเมืองแห่งความฝันแห่งนี้ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:24:14

ความคิดเห็นที่ 66   ที่ Rialto Bridge ตอนผมไปถึงนั้นร้านทุกร้านปิดอยู่ (ก็แน่หล่ะเช้าซะขนาดนี้) แต่ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดให้พร้อมรับนักท่องเที่ยวในวันใหม่ ซึ่งที่ Grand Canal เองก็เงียบเหงามากมายครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:25:52

ความคิดเห็นที่ 67   แต่เช้านี้ผมก็ไม่ได้สนใจ Grand Canal เท่าไหร่เพราะอยากเดินเก็บบรรยากาศมากกว่าครับ ตอนเดินๆ ก็แอบเสียวๆ เพราะมาคนเดียว แถมบรรยากศวังเวงๆ อีกตะหาก จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:26:10

ความคิดเห็นที่ 68   คลองก็เงียบเชียบเช่นกัน... เรียกว่าไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตแถวนี้ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:26:46

ความคิดเห็นที่ 69   นานๆๆๆๆ ถึงจะมีซักคนเดินมาผ่านฉากให้ผม จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:27:10

ความคิดเห็นที่ 70   ผมเดินวนจนไปเกือบถึง Accadamia Bridge สุดท้ายอ้อมไปจนออกทะเลเลยครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:28:02

ความคิดเห็นที่ 71   ซึ่งก็เป็นช่วงที่แสงแดดเริ่มทอออกมาพอดีเลยครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:28:31

ความคิดเห็นที่ 72   เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวในหลายๆ โรงแรมที่ตื่นนอนมารับแสงอรุณพร้อมกับทางข้าวเช้าเตรียมออกเที่ยวในวันใหม่นั่นเอง จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:29:02

ความคิดเห็นที่ 73   สุดท้ายผมก็เดินย้อนกลับมาจนถึงจตุรัส San Marco อีกครั้ง ซึ่งผมเองค่อนข้างเสียดายที่ในช่วงที่ผมไปนั้นเป็นช่วงน้ำลด น้ำเลยไม่ท่วมขึ้นมาที่จตุรัสแห่งนี้ครับ แถมยังปิดซ่อมโบสถ์บางส่วนแบบที่ผมบ่นๆไว้แล้วอีกตะหาก จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:29:24

ความคิดเห็นที่ 74   หลังจาสาแก่ใจกํบการเดินกว่า 2 ชั่วโมง ผมเลยเก็บช๊อตสุดท้ายก่อนกลับโรงแรมเพื่อไปอาบน้ำเตรียมไปเที่ยวต่อในวันนี้ ซึ่งผมจะเดินทางไปเกาะ Murano และ Burano กันครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:29:44

ความคิดเห็นที่ 75   ไปเที่ยวเกาะกันดีกว่า แม้ว่าโดยหลักๆในการมาเที่ยวที่ Venice เราจะอยู่ที่เกาะ Venezia เป็นหลักแล้ว แต่จริงๆ ที่เมืองนี้ยังมีเกาะอีกหลายเกาะที่มีความน่าสนใจครับ ซึ่งเกาะที่ดังรองๆลงมาก็คงหนีไม่พ้น Murano ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะ Venezia นัก ส่วนอีกเกาะที่ได้รับคำแนะนำจากกระทู้คุณ go_med ก็คือเกาะ Burano เกาะแห่งสีสันนั่นเอง ซึ่งการเดินทางไปเกาะต่างๆที่บอกก็สามารถใช้บัตรเบ่ง หรือ Pass ที่เราซื้อเอาไว้ได้เช่นกันครับ แต่เรือที่จะใช้จะไม่เหมือนเรือที่แล่นใน Grand Canal โดยจะออกเป็นเรือลำใหญ่ขึ้นประมาณนี้ครับ ลำนี้เป็นเรือที่ไป Burano แต่ถ้าเรือไป Murano จะเล็กกว่านี้ครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:30:15

ความคิดเห็นที่ 76   แน่นอนเมืองเราออกทะเลมาเราก็จะได้เห็นเวนีซในมุมกว้างๆอีกครั้งนึงครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:30:40

ความคิดเห็นที่ 77   และมีท่านึงชื่อว่า Cimitero ซึ่งก็เดาไม่ยากครับว่าสิ่งที่อยู่หลังกำแพงสูงๆนั่นคืออะไร มันก็คือสุสานนั่นเองครับ ตอนไปผมเห็นหลายคนที่ลงที่ท่าเรือนี้ และติดดอกไม้มาด้วยซึ่งก็คงไปเคารพศพนั่นเอง จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:31:10

ความคิดเห็นที่ 78   โรงงานเป่าแก้ว แห่งเกาะ Murano ปัจจุบันคนที่ไปเที่ยวเวนีซ หากจะไปเกาะ Murano ก็คงนึกถึงเครื่องแก้ว แต่จริงๆแล้วเมื่อก่อนเกาะแห่งนี้ไม่ได้เป็นโรงงานเป่าแก้วแต่อย่างใด แต่ในยุคศตวรรษที่ 6 ที่เกาะแห่งนี้จะเป็นที่ทำการประมงและทำเกลือ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งการค้าสำคัญมากๆ เลยทีเดียวครับ จวบจนศตวรรษที่ 11 คนก็เริ่มอพยพออกจากเกาะแห่งนี้ไปยังDorsoduro แทน จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:34:05

ความคิดเห็นที่ 79   ต่อมาในศตวรรษที่ 13 เกาะแห่งนี้ก็ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองจาก Venezia ซึ่งในช่วงปลายศตวรรษ ราวปี 1291 มีการบังคับให้ผู้มีอาชีพเป่าแก้วย้ายจากเกาะอื่นมายังเกาะนี้เพราะกลัวว่าเกาะอื่นๆจะไฟไหม้นั่นเอง สภาพบ้านเมืองภายในเกาะนี้ก็เหมือนๆกับเมืองอื่นๆ ในอิตาลี ไม่ได้มีอะไรแตกต่างมากมายครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:34:36

ความคิดเห็นที่ 80   ซึ่งเมื่อเราถึงเกาะ Murano จะมีคนต้อนรับ ?? มาคอยต้อนนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งตอนไปถึงผมมึนๆ เลยเดินไปปรากฎว่าเป็นทางเดินไปยังโรงงานเป่าแก้ว ซึ่งเค้าจะให้เข้าคิวรอเป็นรอบๆครับ ซึ่งจะมีคนเป่าแก้วอยู่ 2 คน และจะมี 1 คนคอยเป็นพิธีกรคอยอธิบายวิธีการเป่าแก้วให้เราฟัง หลังจากนั้นเค้าก็จะให้เราไปชมร้านเครื่องแก้วซึ่งราคามิใช่ถูกเลยครับ ความเนี๊ยบเองก็ไม่เนี๊ยบมากมายครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:34:56

ความคิดเห็นที่ 81   ที่เกาะ Murano นั้นจริงๆแล้วจะมีคตลองหลักอยู่ครับ โดยคลองจะเป็นประมาณตัว T แบ่งเมืองออกเป็น สามส่วน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวร้านค้าต่างๆ ก็จะอยู่เลียบคลองนี้นี่หล่ะครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:35:13

ความคิดเห็นที่ 82   ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเมืองอื่นๆคือ จะมีร้านอาหารจำนวนมากมาตั้งฌต๊ะกลางแดดให้คนมานั่งอาบแดดกินข้าวกันชิวๆครับ ตอนแรกๆ ก็กะว่าจะหาข้าวกลางวันกินที่เกาะนี้แต่เดินๆไปเฉียดดูราคาแต่ละร้านแล้ว โอววว แพงจับใจจริงๆครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 02:35:35