ความคิดเห็นที่ 1   หลังจากพวกเรากลับจากเก็นติ้ง ระหว่างที่ทานมื้อเย็นอยู่กับพวกน้า น้าได้ถามว่าวันต่อไปมีโปรแกรมจะไปที่ไหนกัน พวกผมซึ่งไม่ได้แพลนกันไว้อยู่แล้วว่าวันไหนจะไปที่ไหนจึงตอบไปว่าไม่มี น้าจึงเสนอว่าจะขับรถพาไปมะละกา (Melaka หรือ Malacca) พวกผมจึงตอบตกลง เพราะมะละกาเป็นที่ๆ ผมได้หาข้อมูลไว้ และคิดว่าจะเดินทางไปวันใดวันหนึ่งอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะแอบเกรงใจน้าที่ต้องขับรถพาไปอยู่บ้างก็ตาม “Melaka หรือ Malacca เป็นรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศมาเลเซีย อยู่ทางภาคใต้ของประเทศบริเวณช่องแคบมะละกา มีเมืองมะละกาซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยองค์การ UNESCO ในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008” - [ ข้อมูลจาก http://en/wikipedia.org/wiki/Malacca ] จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:52:58

ความคิดเห็นที่ 2   เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราทั้งสามคนตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวออกไปทานอาหารเช้า ก่อนที่น้าจะขับรถพามุ่งลงไปทางใต้ ราวๆ กลางทางระหว่างกัวลาลัมเปอร์ – สิงคโปร์ เพื่อน A และ เพื่อน B วันนี้พักเล่น BB แล้วงีบหลับเกือบตลอดทางไปมะละกา จนกระทั่งช่วงสายๆ เราก็ไปถึงตัวเมืองมะละกา เราแวะกันก่อนที่โบสถ์ St. Peter’s Church “โบสถ์ St. Peter’s Church เป็นโบสถ์คาทอลิก ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1710 ในปี ค.ศ.1641 มะละกาได้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส และตกเป็นของดัทช์แทน จากนั้นจึงเกิดการเบียดเบียนทางศาสนา ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในมะละกาถูกรุกรานอย่างหนักโดยชาวดัทช์ โบสถ์ถูกทำลาย ชาวคาทอลิกไม่ได้รับอนุญาตให้มีสุสานเป็นของตัวเองหรือแม้แต่สวดมนต์ในบ้านตัวเอง นักบุญกลายเป็นบุคคลต้องห้าม เมื่อสงครามสเปนเกิดขึ้น ทำให้เกิดฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ.1703 ซึ่งรวมไปถึงโปรตุเกสและดัทช์ จึงทำให้ดัทช์เริ่มมีท่าทีที่อ่อนลงต่อคาทอลิกแบบโปรตุเกสในมะละกา หลังจากนั้นจึงเกิดโบสถ์ St. Peter’s Church ขึ้น และโบสถ์ St. Peter’s Church นี้ยังเป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งเดียวในมะละกา อีกเกือบศตวรรษอีกด้วย” - [ ข้อมูลจาก แผ่นพับที่ได้รับแจกมาจากโบสถ์ ] ภาพ A – ป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวสู่มะละกา เมืองมรดกโลก B – ซุ้มป้ายบนถนนก่อนเข้าตัวเมืองมะละกา (Selamat Datang แปลว่า Welcome) C – โบสถ์ St. Peter’s Church D – ภายในปีกด้านหนึ่งของโบสถ์ St. Peter’s Church E – หลุมศพ แต่ไม่ทราบว่าเจ้าของเกี่ยวข้องกับโบสถ์อย่างไร อยู่ระหว่างเก้าอี้แถวซ้ายและขวา แถวหน้าๆ ในโถงโบสถ์ F – โถงโบสถ์ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:53:46

ความคิดเห็นที่ 3   ออกจากโบสถ์ St. Peter’s Church พวกเราก็มุ่งหน้าไปชมเมืองมะละกาตามแบบที่ได้เห็นมาในรีวิวท่องเที่ยวทั้งจาก Blueplanet และตามหนังสือนำเที่ยว พวกเราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนมากกกกกกกก็ตาม มะละกาในวันที่ผมได้ไปเยือน ค่อนข้างต่างกับมะละกาแบบที่ผมคิดไว้ก่อนไป มะละกาในแบบที่ผมคิดไว้ก่อนไป จะเป็นลักษณะอาคารเก่าๆ อยู่ระหว่างสองข้างทาง มีทางเดินแคบๆ คั่นระหว่างเหล่าอาคารทั้งสองฝั่ง และมีนักท่องเที่ยวเยอะแยะเหมือน Palio เขาใหญ่ แต่มะละกาที่ได้ไปเห็น เป็นกลุ่มอาการที่เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ มีทางที่กว้างพอที่รถจะวิ่งสวนทางกันได้ บางส่วนดูร่มรื่นจากร่มไม้ บางส่วนก็ได้รับการปรับปรุงจนทันสมัย คนไม่เยอะนัก ถือว่าผมค่อนข้างประทับใจ ที่ได้มาเห็นในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเห็น จะว่าไปแล้วผมว่าบ้านเมืองมะละกาคล้ายกับกลุ่มอาคารเก่าในเมืองภูเก็ตมาก จะว่าไปก็เมืองพี่เมืองน้องกันนี่นา ภาพ A – คลองเล็กๆ ในมะละกาที่ไหลออกสู่ทะเล B – ในมะละกากับน้า และเพื่อน B C – อาคารสวยๆ ในมะละกา D – รถสามล้อชมเมืองที่มีอยู่มากมายในมะละกา คันนี้เปิดเพลง Radar ของ Britney Spears ผ่านไปอย่างดัง E – กับเพื่อน B และน้า หน้าร้าน The Orangutan House จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:54:34

ความคิดเห็นที่ 4   ภาพ A – ร้าน The Orangutan House มีเสื้อยืดแนวๆ ขายมากมาย ราคาก็ไม่แพง B – กลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษา หน้าร้านข้าวมันไก่แบบลูกกลมๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในมะละกา C – เพื่อน B กับป้ายร้านข้าวมันไก่ D – เด็กนักเรียนกับป้ายร้านข้าวมันไก่ E – ป้ายร้านข้าวมันไก่ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:55:17

ความคิดเห็นที่ 5   ภาพ A – ในมะละกา B – ที่พักผ่อน และห้องน้ำ สำหรับนักท่องเที่ยว ตอนผมไปยังไม่เปิดให้ใช้ ตอนนี้น่าจะเปิดแล้ว C – ที่พักผ่อน และห้องน้ำ สำหรับนักท่องเที่ยว ตอนผมไปยังไม่เปิดให้ใช้ ตอนนี้น่าจะเปิดแล้ว D – มะละกาในอีกมุม จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:55:49

ความคิดเห็นที่ 6   ลืมรูปค้าบ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 53 12:56:30 จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:56:11

ความคิดเห็นที่ 7   ภาพ A – อาคารสวยๆ ในมะละกา B – เอ่อ... C – ร้านข้าวมันไก่กลมๆ มีมากมายจริงๆ D – ร้าน The Orangutan House E – แสดงให้เห็นว่า เด็กบลูฯ ค้าบบบ F – โบสถ์ที่ใครๆ ก็ถ่ายมา G – ตู้ไปรษณีย์ในมะละกา H – สามล้อบริการนักท่องเที่ยว I – Berhenti น่าจะแปลว่า Stop! จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:57:07

ความคิดเห็นที่ 8   ระหว่างที่เราเดินกันจนแทบจะละลายจากแสงแดดที่แผดเผานั้น พวกเราก็ได้แวะทานน้ำแข็งไสกันที่ร้านขายน้ำแข็งไสและของที่ระลึกร้านหนึ่ง ก่อนที่จะเดินกันจนพอใจ พอทุกคนเริ่มเหนื่อย ผมนึกได้ว่าเคยเห็นจากรีวิวห้องบลูเนี่ยแหละ ว่ามีซากโบสถ์ St. Paul’s Church อยู่บนเนินเขา จึงรบเร้าน้าและเพื่อนๆ ขึ้นไปชมโบสถ์กันทันที “โบสถ์แห่งนี้แรกเริ่มถูกสร้างขึ้นเป็นเพียงหอธรรมเล็กๆ ชื่อว่า Nosa Senhora แปลว่า Our Lady of the Hill ในปี 1521 โดยกัปตันเรือ Duarto Coelho ชาวโปรตุเกส หลังจากดัทช์ครอบครองมะละกาต่อจากโปรตุเกส ได้เปลี่ยนชื่อใหม่โบสถ์ St. Paul’s Churchและใช้ถึง 112 ปี จนกระทั่งมีโบสถ์ Christ Church เป็นของตัวเองในปี 1753 หอคอยของโบสถ์ถูกเอาออก และเพิ่มประภาคารที่ด้านหน้าโบสถ์ในช่วงที่ตกเป็นของอังกฤษ อังกฤษไม่ได้ใช้โบสถ์ในทางศาสนา แต่ใช้ที่นี่เป็นที่เก็บดินปืน นักบุญ St. Francis Xavier มาที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1545-1552 เมื่อท่านเสียชีวิต ได้เก็บศพไว้ที่นี่ 9 เดือน ก่อนที่จะนำไปไว้ที่สุสานถาวรในอินเดีย รูปปั้นของนักบุญ St. Francis Xavier สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1952 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการจากไปของท่าน” - [ ข้อมูลจาก ป้ายหน้าโบสถ์ ] จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:57:43

ความคิดเห็นที่ 9   ระหว่างทางขึ้นไปชมโบสถ์ St. Paul’s Church นั้น เราได้เดินผ่านพิพิธภัณฑ์ต่างๆ หลายแห่ง เราเลือกที่จะเข้าเฉพาะที่ๆ เข้าฟรีเท่านั้น ^^ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปถึงโบสถ์อย่างเมื่อยล้า ถึงแม้โบสถ์แห่งนี้จะเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังเหลือความงดงามให้เห็นอย่างชัดเจน มองลงไปข้างล่างทางฝั่งทะเล ก็คือช่องแคบมะละกา พร้อมทั้งหอคอยชมวิว และ Eye on Malaysia อยู่บริเวณชายฝั่ง ครั้งก่อนที่ผมไปมาเลเซีย ในปี ค.ศ. 2007 Eye on Malaysia อยู่ในกัวลาลัมเปอร์ แต่ตอนนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่มะละกาแล้ว “ Eye on Malaysia เป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ สูง 60 เมตร ก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ใน Titiwangsa Lake Gardens ในกัวลาลัมเปอร์ ก่อนที่จะย้ายไปตั้งไว้ที่มะละกาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 ประกอบไปด้วยตัวห้องโดยสาร 42 ห้อง มี 1 ห้องในนั้นเป็นห้อง VIP เปิดตัวเพื่อเป็นจุดเด่นหนึ่งของกัวลาลัมเปอร์สำหรับเทศกาลปีท่องเที่ยวมาเลเซีย 2007 (Visit Malaysia Year 2007) ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ.2007” - [ ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Eye_on_Malaysia ] ภาพ A – ป้อม A’Famosa B – หอคอยชมวิว, Eye on Malaysia และ ช่องแคบมะละกา C – โบสถ์ St. Paul’s Church และรูปปั้นนักบุญ St. Francis Xavier D – ภายในโบสถ์ St. Paul E – พิพิธภัณฑ์ ความงามที่ยั่งยืน (Museum of Enduring Beauty) F – แผ่นป้ายที่พิงเรียงรายบริเวณผนังโบสถ์ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:58:23

ความคิดเห็นที่ 10   ชมโบสถ์ St. Paul’s Church จนพอใจเริ่มหิว เราจึงกลับลงมาด้านล่าง แล้วไปขอแผนที่จาก Information Center เนื่องจากน้าต้องการทราบจุดสำหรับไปขึ้นเรือชมเมือง แล้วเราก็ไปทาน Chicken Rice Ball กันในมะละกานั่นเอง หลังจากที่ได้ชมรีวิวมามากมาย ผมก็อยากลองชิมดูว่าข้าวก้อนกลมๆ เนี่ยมันแตกต่างจากข้าวธรรมดายังไง ระหว่างทานอาหารกลางวันกัน ผมเปิดแผนที่ที่ได้มาจาก Information Center พบส่วนลดสำหรับเรือชมเมืองที่น้ากำลังจะพาไปลองนั่ง เราทานกันจนอิ่ม มื้อนี้ถือว่าอาหารถูกปากมากเลยทีเดียว แล้วเราก็ไปต่อกันที่ขึ้นเรือ พร้อมทั้งแสดงชิ้นส่วนจากแผนที่ ซึ่งเป็นส่วนลด แต่ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ ทางเคาน์เตอร์ขายตั๋วเรืออ้างว่า แผนที่ที่เราได้มานี้เป็นเล่มที่ออกมาเมื่อสอง-สามเดือนก่อน ตอนนี้ใช้ลดไม่ได้แล้ว (ทั้งๆ ที่ในเล่มไม่ได้บอกวันหมดเขตใช้ส่วนลด) น้าแอบเหวี่ยงนิดหน่อยว่า ใช้ไม่ได้แล้วทำไมเอามาให้นักท่องเที่ยว แล้วนักท่องเที่ยวคนอื่นจะเข้าใจยังไง ... แล้วพวกเราก็เลยต้องซื้อตั๋วราคาเต็ม (10 RM) ภาพ A – Chicken Rice Ball B – บรรยากาศในร้านข้าวมันไก่ C – ระหัดวิดน้ำอันเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ D – ระหว่างเรือแล่นไป E – ตั๋วเรือชมเมือง F – ระหัดวิดน้ำอันเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:59:04

ความคิดเห็นที่ 11   บ้านเมืองสองข้างทางก็สวยดี มีการประดับประดาไฟต่างๆ นาๆ บนทั้งสองฝั่ง คิดว่าถ้ามาตอนกลางคืนคงจะสวยมากแต่การชมเมืองบนเรือของพวกเราไม่ได้เพลิดเพลินอย่างที่คิด เพราะแดดตอนนั้นร้อนมากถึงมากที่สุด เวลาเรือเลี้ยวหรือหัน แดดจะส่องเข้ามา ต้องขยับหลบแดดอยู่เป็นระยะๆ หลังจากพวกเราชมเมืองทางเรือกันจนเสร็จก็แวะร้านเครื่องดื่ม แล้วกลับ KL กัน เป็นอันสิ้นสุดการท่องเที่ยวในวันนั้น ภาพ A – บ้านเมืองริมคลอง มองจากเรือชมเมือง B – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ ถ่ายจากแถวบ้านน้า C – บ้านเมืองริมคลอง จะเห็นได้ว่ามีรางโมโนเรล มองจากเรือชมเมือง D – สถานีโมโนเรล ยังไม่เสร็จเรียบร้อยนัก คิดว่าคงอีกไม่นานมะละกาก็จะมีโมโนเรลชมเมืองเลียบคลอง E – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ ถ่ายจากแถวบ้านน้า จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:59:41

ความคิดเห็นที่ 12   วันต่อมา น้าพาพวกเราไปที่ KL Tower เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์โดยรอบ KL ในมุมสูงกัน โดยน้าซื้อตั๋วให้เราสามคนขึ้นไป น้ารออยู่ข้างล่าง เนื่องจากน้าขึ้นไปหลายครั้งแล้ว ใครมาน้าก็พาไปขึ้น + ค่าตั๋วที่ค่อนข้างแพง คนละ 38 RM “KL Tower (Menara Kuala Lumpur) เป็นหอคอยสูงใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ สร้างเสร็จวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1990 เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสาร รวมกับเสาสัญญาณวัดได้สูง 421 เมตร ทำให้ปัจจุบันเป็นหอคอยที่สูงอันดับ 18 ของโลก” - [ ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Kuala_Lumpur_Tower ] ภาพ A – บน KL Tower B – KL Tower มองจากพื้นดิน C – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ มองจาก KL Tower D – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ มองจาก KL Tower E – เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว คนเยอะนะเนี่ย ถึงแม้จะแอบแพง F – ตั๋วขึ้น KL Tower G – กระจกไปไหน? มีพลาสติกมาแปะแทน ถ้าเซไปจะร่วงลงไปมั้ยเนี่ย H – ลิฟท์ขึ้น KL Tower I – เครื่องบรรยาย มีบรรยายเป็นภาษาไทยด้วย โดยจะบรรยายเรียงหมายเลขช่องไปเรื่อยๆ ว่าตรงหน้าเป็นอะไร J – รถม้าที่ให้บริการด้านล่าง จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:00:13

ความคิดเห็นที่ 13   คงเป็นเพราะค่าตั๋วที่แสนแพง ถึงเกือบ 400 บาทไทย จะให้ขึ้น Tower อย่างเดียวคงกระไรอยู่ จึงมีการ(กึ่ง)ยัดเยียด ให้นำหางตั๋วไปใช้บริการด้านล่างได้ 3 อย่าง คือ 1. เข้าสวนสัตว์ 2. ขึ้นรถม้า 3. เล่นรถแข่ง สวนสัตว์ ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นห้องไม่ใหญ่มากห้องหนึ่ง มีตู้สัตว์และคอกสัตว์อยู่หลายชนิด แต่ก็ไม่ได้หลายหลายมากนัก รถม้า คิดผิดมากที่ไปขึ้น ม้าน่าสงสารมาก ดูมันเหนื่อยๆ ที่ต้องลากคนทั้งวัน โชคดีที่ระยะทางสั้นๆ รถแข่ง ดูดีรูปร่างเหมือนรถแข่ง แต่พอเล่นแล้ว ไม่ต่างจากเกมรถแข่งหยอดเหรียญ 10 ใน MBK ภาพ A – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ มองจาก KL Tower B – ที่ให้บริการเครื่องบรรยาย บน KL Tower C – ขณะนั่งรถม้า D – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ มองจาก KL Tower E – ทิวทัศน์กัวลาลัมเปอร์ มองจาก KL Tower มองเห็นสถานีโมโนเรลด้านล่าง F – เกมรถแข่ง จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:00:58

ความคิดเห็นที่ 14   หลังจากนั้น น้าพาเราไปต่อที่ KL Butterfly Park ค่าเข้าชมที่นี่ สำหรับชาวต่างชาติจะแพงกว่าชาวมาเลเซีย ภายในก็เป็นสวนที่มีตาข่ายล้อมรอบ และคุมด้านบนทั้งหมดเพื่อกับผีเสื้อหนี นอกจากส่วนที่เป็นสวนผีเสื้อที่ให้ชมผีเสื้อตัวเป็นๆ ได้อย่างใกล้ชิดแล้ว อีกส่วนยังเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงแมลงและสัตว์เลื้อยคลานตามภูมิภาคต่างๆ ของโลกอีกด้วย ภาพ A – กล้วยที่จัดวางไว้ทั่วไป ให้เป็นอาหารของผีเสื้อ B – ภายในสวนผีเสื้อ C – ภายในสวนผีเสื้อ D – ผีเสื้อกับไข่ในตู้ E – ผีเสื้อกับไข่ในตู้ F – เพื่อน A + เพื่อน B ภายในสวนผีเสื้อ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:01:35

ความคิดเห็นที่ 15   ภาพ A – ภายในสวนผีเสื้อ B – ผีเสื้อภายในสวนผีเสื้อ C – ผีเสื้อภายในสวนผีเสื้อ D – ตะพาบคอย๊าววววยาวววว E – ภายในสวนผีเสื้อ F – เด็กๆ มาทัศนศึกษาภายในสวนผีเสื้อ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:02:09

ความคิดเห็นที่ 16   ภาพ A – ผีเสื้อที่พบได้ในประเทศไทย B – ผีเสื้อที่พบได้ในอเมริกาใต้ C – แมลงที่มีรูปร่างคล้ายใบไม้ เพื่อซ่อนตัวได้ดี D – แมงมุม แมงป่อง กิ้งกือ E – ผีเสื้อสีสวยๆ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:02:35

ความคิดเห็นที่ 17   ต่อจากสวนผีเสื้อเราไปต่อกันที่ National Palace หรือ Istana Negara ซึ่งไม่ไกลจากสวนผีเสื้อนัก ที่นี่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมภายใน เท่าที่สังเกตแถวนี้น่าจะเดินทางด้วยรถสาธารณะมาลำบาก เพราะไม่เห็นจุดจอดรถประจำทาง และห่างจากสถานีรถไฟต่างๆ วันนี้กษัตริย์ของมาเลเซียไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ สังเกตได้จากไม่มีการชักธงสู่ยอดอาคาร พระราชวังแห่งนี้เมื่อเริ่มสร้างเป็นบ้านของมหาเศรษฐีชาวจีน ก่อนที่จะตกเป็นของอังกฤษในสมัยที่มาเลเซียตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอังกฤษ หลังจากมาเลเซียประกาศเอกราชเมื่อ 50 กว่าปีก่อน มาเลเซียจึงเริ่มมีระบอบกษัตริย์ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ได้รับและคงเหลือมาจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กษัตริย์ของมาเลเซียจะเปลี่ยนไปเป็นสมัยๆ โดยการเลือกตั้งจากสุลต่านจากรัฐต่างๆ ทั้ง 9 รัฐของมาเลเซียนั่นเอง นอกจากที่นี่แล้ว มาเลเซียยังมีพระราชวังสำหรับเป็นที่ประทับของกษัตริย์อีกที่ Putrajaya และอีกแห่งที่กำลังดำเนินการในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งใช้เงินทุนในการก่อสร้างมหาศาล หลังจากการก่อสร้างพระราชวังแห่งใหม่สำเร็จแล้ว ที่นี่จะดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ต่อไป ภาพ A – ประตูใหญ่หน้า National Palace B – ทหารยามหน้าประตูพระราชวัง ถ้าเป็นช่วงเช้าทหารจะขี่ม้าด้วย C – นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่เรื่อยๆ D – เพื่อน B กับทหารยาม จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:02:59

ความคิดเห็นที่ 18   ขอบคุณพี่ๆ ที่ติดตาม รวมถึงพี่ๆ ที่อ่านตั้งแต่ตอนที่ 1 ครับ ตอนต่อไป พวกเราจะบินต่อไปสิงคโปร์ เที่ยวชมเมืองสิงคโปร์ เซนโตซ่า และนั่งเรือข้ามไปฝั่งอินโดนีเซียกันครับ จะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุดครับ ^^ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:05:13

ความคิดเห็นที่ 19   มาชมรีวิว ด้วยคนนะคะ จากคุณ : snas89Pink เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:14:09

ความคิดเห็นที่ 20   ขอบคุณรีวิวรูปสวยและรายละเอียดแบบเต็มคุณภาพแบบนี้มากๆนะคะ ช่วยกดเก็บเข้าคลังกระทู้เก่าไว้ให้ค่ะ จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:21:36

ความคิดเห็นที่ 21   snas89Pink : คับผม สาวหน้าใส : ขอบคุณครับ จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:23:36

ความคิดเห็นที่ 22   ตามมาเที่ยวต่อครับน้อง เดี๋ยวปีหน้าพี่ขอตามรอยไปมะละกาบ้าง จาก อดีตเด็กอยากซิ่ว จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:34:04

ความคิดเห็นที่ 23   Coffee Blended : คับผม จากคุณ : เด็กเกือบซิ่ว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:38:05

ความคิดเห็นที่ 24   เที่ยวหลายที่เลยนะคะ  รูปก็สวยด้วย จากคุณ : Red-Rose-14Feb เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 20:15:33

ความคิดเห็นที่ 25   รอตามไปเที่ยวสิงคโปร์ต่อนะครับ ^_^ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 21:15:19

ความคิดเห็นที่ 26   ตามมากินข้าวมันไก่ อิอิอิ จากคุณ : โอ๊ต-ครับ-ผม เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 22:06:22