ความคิดเห็นที่ 1   วันนี้ตื่นกันตั้งแต่ตีสองกว่า นัดเจอไกด์ตอนตีสามก่อนที่จะขับรถไปรอที่จุดตรวจเพื่อออกเดินทาง เอกสารที่ใช้ก็มีแค่หน้าแรกของพาสปอร์ตที่ต้องถ่ายเอกสารไปล่วงหน้าเท่านั้นเอง ถึงจะตื่นเช้าแต่ก็ยังมีเวลาสามชั่วโมงให้หลับในรถ ใครหลับง่ายก็โชคดีไป เราก็หลับๆตื่นๆ เห็นพอใกล้ๆไกด์ก็เริ่มเอาโน้ตขึ้นมาอ่านๆทวน เป็นโน้ตเขียนเอง ลายมือภาษาอังกฤษสวยเชียว พอลงปุ๊บก็ต้องฝ่าฝูงชนที่มาถึงพร้อมๆกัน (ขบวนรถทัวร์ที่ตามกรถตำรวจมานี่ยาวววววววววววมาก) ไกด์อุตส่าห์รวบรวมัตรนักเรียนพวกเราไปซื้อบัตรเข้าให้ แต่มาเสียเวลาตรงที่บัตรไม่ผ่าน คุยไปคุยมาปรากฏว่าเค้าบอกว่า ไม่มีคำว่า Student จ้า งานนี้บัตรจุฬารอดฉลุย บัตรอเมริกาคำว่า Student เป็นสีขาวบนพื้นสีฟ้าอ่อนอยู่หลังชื่อโรงเรียน คนอ่านอ่านไม่เห็นก็ต้องไปเถียงมา ส่วนบัตรอังกฤษไม่รอด เพราะหาทั้งใบไม่มีคำว่า Student เฮ้อ เป็นงั้นไป ได้บัตรมาแล้วก็ต้องฝ่าคนเข้าไปที่ทางเข้า นี่ขนาดเราไม่ได้ไปต่อคิวเข้าห้องน้ำยาวเหยียดนะนี่ ห้องแรกที่เข้าไปมีนิทรรศการย่อมๆเกี่ยวกับการขนย้ายวิหารด้วย วิหาร Abu Simbel นั้นเดิมตั้งอยู่ต่ำกว่านี้ เมื่อมีโครงการสร้างเขื่อนอัสวานก็พบว่าเขื่อนจะทำให้วิหารทั้งวิหารจมอยู่ใต้น้ำ โอ้ว ม่ายยย ยูเนสโกเลยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยให้เงินทุนในการขนย้ายวิหารนี้ขึ้นมาตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน รูปในห้องนิทรรศการ ทางซ้ายจะเห็นขั้นตอนตัดต่อหินและยกส่วนศีรษะมหึมาของรูปปั้นเพื่อนำไปประกอบกันใหม่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:48:01

ความคิดเห็นที่ 2   เข้าไปส่วนภายในได้แล้ว เราก็เดินลงไปชมวิหารกันใกล้ๆ ที่นี่นอกจากจะมีกฏห้ามถ่ายภาพด้านในวิหารแล้วยังมีกฏห้ามไกด์เข้าไปบรรยายด้วย สงสัยเพราะไม่อยากให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปยืนออที่บางรูปนานๆ ไกด์เราก็เลยต้องบรรยายกันตั้งแต่ด้านนอก คุณไกด์ไม่ได้อธิบายจนกระทั้งเดินเข้าไปใกล้หน้าวิหาร คงกะให้เรามองความยิ่งใหญ่ให้เต็มสองตา ให้อยู่ในโหมดอึ้งและทึ่งกับความอลังการของสิ่งก่อสร้างตรงหน้าก่อนจะเริ่มเข้าสู่บทเรียน วิหาร Abu Simbel นั้นตั้งอยู่ริมทะเลสาบนัซเซอร์ ทะเลสาบที่ขุดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเขื่อนที่อัสวาน ทะเลสาบนัซเซอร์มีความยาวถึงห้าร้อยกม.ด้วยกัน แหล่งน้ำที่มาของน้ำในทะเลสาบนัซเซอร์ก็คือทะเลสาบวิคตอเรีย ต้นน้ำของแม่น้ำไนล์นั่นเอง บริเวณนี้เดิมเป็นอาณาจักรของชาวนูเบีย การสร้างทะเลสาบนั้นกินบริเวณของชาวอิยิปต์เชื้อสายนูเบียไปมาก ชาวนูเบียถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน ทำให้อารยธรรมนูเบียซึ่งมีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียนกระจัดกระจายไป พูดถึงอาณาจักรนูเบีย คงพอจำกันได้จากตอนที่แล้วว่านูเบียก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิยิปต์มาพอสมควร มีการแข็งข้อบ้างเรื่อยๆมา คำว่านูเบียในภาษาโบราณนั้นแปลว่าทองคำ ถิ่นของชาวนูเบียนั้นเป็นเหมืองทองจึงไม่แปลกที่อิยิปต์ต้องการจะครอบครองแถบนี้ตลอดมา ในสมัยโบราณอาณาจักรนูเบียนั้นมีความสำคัญต่ออิยิปต์มากเพราะเป็นทั้งแหล่งทองคำแหละแหล่งทาสที่อิยิปต์นำไปใช้แรงงาน ที่วิหารนี้ถูกสร้างขึ้นในถิ่นนูเบียนี้ก็เพราะฟาโรห์รามซิสที่สองผู้ยิ่งใหญ่ ท่านได้แต่งงานกับพระมเหสีชาวนูเบียคือพระนางเนเฟอร์ทารี (Nefertari) เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับชาวนูเบีย ชื่อเนเฟอร์ทารีนั้นแปลว่า Beautiful lady from afar หรือหญิงงามจากแดนไกล เนเฟอร์ทารีเป็นพระมเหสีที่ท่านรักมาก ท่านจึงมาสร้างวิหารของท่านขึ้นในถิ่นนูเบียนี้ อีกทั้งยังสร้างวิหารให้พระนางเนเฟอร์ทารีไว้ข้างเคียงกันด้วย ซึ่งการสร้างวิหารให้ราชินีนี้ นอกจากฮัทเชปชัตซึ่งดำรงตนเป็นฟาโรห์มากกว่าจะเป็นราชินีนั้นไม่เคยมีประเพณีมาก่อน (มีกันแค่สองคนนี้แหละ) การที่พระนางเนเฟอร์ทารีมีวิหารที่สร้างแด่ท่าน จึงแสดงถึงความรักอันมากล้นที่รามซิสที่สองมีให้พระชายาชาวนูเบียคนนี้ นอกจากการสร้างวิหารให้พระนางแล้ว ในรูปสลักฝาผนังยังมีรูปท่านคู่กับพระนางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในภาพที่ฟาโรห์ทำพิธีกรรมบวงสรวงต่อเทพเจ้า หรือ ออกว่าราชการทำกิจบ้านการเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิเศษและเห็นได้น้อยมากทีเดียวเมื่อเทียบกับฟาโรห์และมเหสีองค์อื่นๆในประวัติศาสตร์ วิหาร Abu Simbel นี้สร้างขึ้นเมื่อราว 1220 BC วิหารนี้ตั้งตระหง่านกว่าสามพันปีจนทรายพัดผ่านถับถมจนวหารทั้งวิหารจมอยู่ใต้ดิน นักขุดค้นชาวอิตาเลียนได้มาขุดค้นบริเวณนี้ แต่เนื่องจากไม่พบทองคำทรัพย์สมบัติอะไรก็เลยเลิกขุดไปตั้งแต่ต้นๆ ไกด์เล่าว่าที่มาของชื่อ Abu Simbel นั้นมีอยู่สองทฤษฎี หนึ่งคือผู้ช่วยของนักขุดค้นชาวอิตาเลียนชื่อ sombel ได้ทำการขุดค้นต่อ จนนำมาซึ่งการบูรณะวิหาร อีกทฤษฎีคือ ผู้ค้นพบตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักบวชนาม Abuno simbel อันนี้ก็ต้องเชื่อไกด์กันไปเพราะค้นหนังสือหลายเล่มไม่เห็นเขียนอย่างนี้ซักเล่ม ถ้าเปิดวิกิก็จะบอกว่าเป็นชื่อของเด็กชายที่นำทางนำสำรวจและนักขุดค้นชุดแรกๆไปสู่วิหาร อย่างที่กล่าวไว้ว่าวิหารต้องมีการเคลื่อนย้ายหนีน้ำท่วม กระเคลื่อนย้ายวิหารที่ใหญ่โตเช่นนี้นั้นฟังดูน่าทึ่ง ตัววิหาร Abu Simbel นั้น ถูกตัดเป็นชิ้นส่วนย่อยถึง 870 ชิ้น ก่อนที่จะถูกนำมาประกอบขึ้นใหม่ ส่วนวิหารของพระนางเนเฟอร์ทารีนั้น ถูกตัดเป็น 233 ชิ้นก่อนที่จะนำมาประกอบใหม่ ณ ที่ปัจจุบัน เราก็ได้แต่จินตนาการถึงความยากลำบากและความอุตสาหะของทีมงานที่ทำให้โปรเจกนี้ลุล่วงมาได้จนวิหารยังคงอยู่ให้เราได้มาชม ยืนอยู่หน้ารูปปั้นตั้งตระหง่านแล้วรู้สึกตัวเล็กไปเลย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:48:57

ความคิดเห็นที่ 3   กด์บอกว่า ที่ต้องมีรูปปั้นของฟาโรห์ถึงสี่ เพราะแสดงถึงอำนาจปกครองเหนือทิศทั้งสี่ ทั้งเหนือ ใต้ ออก และ ตก ดูที่รูปที่แล้ว จะเห็นว่าบนสุดเป็นลิงบาบูนยี่สิบสี่ตัว ตัวแทนชั่วโมงยี่สิบสี่ชั่วโมง และถ้าจำกันได้จากตอนที่แล้ว บาบูนเป็นตัวรับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์และส่งเสียงปลุกให้ทุกคนตื่นยามเช้า รูปปั้นฟาโรห์นั้นมักมีเครา เพราะเคราเป็นสัญลักษณ์ถึงความฉลาดและความมีอายุมีวุฒิภาวะ มงกุฏที่สวมเป็นดับเบิ้ลคราวน์ของอิยิปต์บนและล่าง มีงูคอยสอดส่องปกป้องคุ้มครอง ที่ไหล่ของฟาโรห์มีชื่อของท่านสลักอยู่ในวงรีที่เรียกว่าคารทุช ท่านั่งเอามือวางบนเข่าเป็นท่าแสดงความเคารพต่อเทพเจ้า ที่ด้านซ้ายและขวาของขาฟาโรห์นั้นเป็นรูปปั้นของพระมารดาและพระมเหสี ตรงกลางวิหารมีรูปปั้นขอโฮรัสเทพเหยี่ยวที่มี sun disk อยู่บนหัว จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:49:28

ความคิดเห็นที่ 4   ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือการออกแบบประตูทางเข้า ณ วันเกิดและวันขึ้นครองราชย์ของฟาโรห์คือวันที่ยี่สิบเอ็ดกพ.และยี่สิบเอ็ด ตค. แสงอาทิตย์จะสาดส่องผ่านช่องประตูเข้าไปถึงห้องลึกสุดข้างในวิหารที่มีรูปปั้นสี่รูปในท่านั่งเรียงกัน แสงจะทับทาบลงบนรูปปั้นสามรูปในห้องนั้นคือเทพรา รูปปั้นฟาโรห์และและรูปปั้นเทพโฮรัส แต่จะส่องไม่ถึงรูปปั้นของเทพ Ptah ทางซ้ายสุด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความมืด ช่างคิดจริงๆ เมื่อวิหารถูกย้ายมาตั้งก็มีการคำนวนมุมให้ใกล้เคียงเดิมที่สุด เนื่องจากที่ตั้งสูงขึ้นจากระดับเดิมเพื่อให้พ้นน้ำท่วม ปัจจุบันแสงนั้นจะส่องเข้ามาช้าไปหนึ่งวันคือเป็นวันที่ยี่สิบสองกพ.และตค.แทน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:49:56

ความคิดเห็นที่ 5   มื่อเดินเข้าประตูทางเข้า กรอบประตูด้านนอกมีรูปทาสเชลยศึกที่รบชนะและจับมาได้ คุณไกด์บอกล่วงหน้าให้ลองสังเกตถึงรูปลักษณ์ที่แตกต่างของชนชาติต่างๆ เช่นชาวแอฟริกันจะผมเกรียนมีต่างหู ส่วนชาติเอเชียจะมีเครา เชือกที่มัดทาสเหล่านี้ก็จะแตกต่างกัน ถ้าปลายเชือกเป็นสัญลักษณ์ดอกบัวจะสื่อถึงอิยิปต์บน ส่วนถ้าเป็นปาปิรุสจะหมายถึงอิยิปต์ล่าง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:50:28

ความคิดเห็นที่ 6   อย่างที่ว่าว่าข้างในห้ามถ่ายรูปและไกด์เข้าไปไม่ได้ ถึงไม่ค่อมีรูปมาให้ชมกัน ก่อนเข้าที่ไกด์อธิบายนั้น ไกด์มีหนังสือภาพติดมือมาด้วย จึงชี้ให้ดูรูปต่างๆไว้ก่อน เข้าไปในวิหารจะได้ไปหาดูถูก ถ้าจำได้ที่เคยเล่าไปตอนแรกว่ารามซิสที่สองนั้นเป็นนักรบที่แกร่งกล้า ครองราชย์นานที่สุดและมีชายาและบุตรสาวบุตรชายมากมาย นอกจากนี้ยังได้เซ็นสัญญาสงบศึกฉบับแรกเมื่อครั้งสงครามฮิตไทต์อีกด้วย สงครามกับอาณาจักรฮิตไทต์ (ปัจจุบันคือประเทศลิเบีย) นั้นยาวนานถึงสิบเอ็ดปี ตำนานเล่าว่าการข่าวส่งข่าวลวงมาที่รามซิสว่าฮิตไทต์กำลังอ่อนแอ รามซิสย่ามใจออกรบทันทีโดยขนพลไปแต่น้อยเพราะคิดว่าจะเอาชนะได้โดยง่าย พอไปถึงจึงตกอยู่ในวงล้อม รามซิสซึ่งได้ชื่อว่าสามารถแกร่งกล้าก็ออกรบกับสิงโตคู่ใจที่ด้วยความเก่งกาจของท่าน ท่านสามารถเลี้ยงจนเชื่องและออกคำสั่งให้ช่วยทำร้ายศัตรูได้ นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถพิเศษ สามารถออกรบในรถม้าที่ไม่ต้องมีพลขับได้ คือท่านขับเองขับไปรบไปได้อย่างเก่งกาจ ท่านทรงธนูเชี่ยวชาญสามารถยิงได้ไกลมาก ซึ่งรถม้าและธนูอันใหญ่และหน้าตาหนักของท่านนั้นเราได้เห็นกันในวันที่แวะไปพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ อย่างไรก็ดีเมื่อถูกล้อมและมีไพร่พลน้อยกว่า รามซิสก็เกือบพลาดท่าเสียที แต่ด้วยบุญญาธิการ เทพราก็บันดาลให้เกิดหมอกหนาขึ้นจนรามซิสฝ่าวงล้อมหลบหนีออกมาได้ จนสามารถรอกำลังเสริมมารบพุ่งตะลุมบอนกันยืดเยื้อหลายปีจนกระทั่งจบลงที่สัญญาสงบศึกในที่สุด เข้าไปในวิหารก็จะได้เห็นภาพเรื่องราวเหล่านี้บ้าง นับตั้งแต่ภาพการรบทัพจับศึกของรามซิสที่มีสิงโตคู่ใจที่ท่านเลี้ยงจนเชื่องคอยออกรบคู่กับท่าน (ใครจำสิงโตตอนที่แล้วที่ทำให้ไกด์เราใจเต้นได้บ้าง อิอิ) หรือกระทั่งภาพรามซิสกำลังประหารนักโทษด้วยท่วงท่ากรีดกรายราวร่ายรำ ใครอยากได้รูปสวยๆก็ต้องลงทุนซื้อหนังสือกัน เราอยากได้หนังสือเล่มที่ไกด์เอามาเล่าให้ฟัง แต่หาจนแล้วจนรอดจนถึงวันกลับก็หาไม่มี น่าเสียดายจริงๆ ถัดไปเราก็ไปแวะชมวิหารอันเล็กของพระนางเนเฟอร์ทารี วิหารของพระนางมีรูปปั้นของพระนางขั้นอยู่ระหว่างรูปปั้นของรามซิสทั้งสี่ (ปกครองสี่ทิศ) วิหารนี้แสดงเนเฟอร์ทารีในร่างเลียนแบบเทพีฮาเธอร์หรือเทพีวัวของเรานั่นเอง คือเป็นวิหารที่บูชาเทพีฮาเธอร์ และยกย่องเนเฟอร์ทารีเสมอเหมือนเทพีฮาเธอร์ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:52:05

ความคิดเห็นที่ 7   อย่างที่ว่าว่าข้างในห้ามถ่ายรูปและไกด์เข้าไปไม่ได้ ถึงไม่ค่อมีรูปมาให้ชมกัน ก่อนเข้าที่ไกด์อธิบายนั้น ไกด์มีหนังสือภาพติดมือมาด้วย จึงชี้ให้ดูรูปต่างๆไว้ก่อน เข้าไปในวิหารจะได้ไปหาดูถูก ถ้าจำได้ที่เคยเล่าไปตอนแรกว่ารามซิสที่สองนั้นเป็นนักรบที่แกร่งกล้า ครองราชย์นานที่สุดและมีชายาและบุตรสาวบุตรชายมากมาย นอกจากนี้ยังได้เซ็นสัญญาสงบศึกฉบับแรกเมื่อครั้งสงครามฮิตไทต์อีกด้วย สงครามกับอาณาจักรฮิตไทต์ (ปัจจุบันคือประเทศลิเบีย) นั้นยาวนานถึงสิบเอ็ดปี ตำนานเล่าว่าการข่าวส่งข่าวลวงมาที่รามซิสว่าฮิตไทต์กำลังอ่อนแอ รามซิสย่ามใจออกรบทันทีโดยขนพลไปแต่น้อยเพราะคิดว่าจะเอาชนะได้โดยง่าย พอไปถึงจึงตกอยู่ในวงล้อม รามซิสซึ่งได้ชื่อว่าสามารถแกร่งกล้าก็ออกรบกับสิงโตคู่ใจที่ด้วยความเก่งกาจของท่าน ท่านสามารถเลี้ยงจนเชื่องและออกคำสั่งให้ช่วยทำร้ายศัตรูได้ นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถพิเศษ สามารถออกรบในรถม้าที่ไม่ต้องมีพลขับได้ คือท่านขับเองขับไปรบไปได้อย่างเก่งกาจ ท่านทรงธนูเชี่ยวชาญสามารถยิงได้ไกลมาก ซึ่งรถม้าและธนูอันใหญ่และหน้าตาหนักของท่านนั้นเราได้เห็นกันในวันที่แวะไปพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ อย่างไรก็ดีเมื่อถูกล้อมและมีไพร่พลน้อยกว่า รามซิสก็เกือบพลาดท่าเสียที แต่ด้วยบุญญาธิการ เทพราก็บันดาลให้เกิดหมอกหนาขึ้นจนรามซิสฝ่าวงล้อมหลบหนีออกมาได้ จนสามารถรอกำลังเสริมมารบพุ่งตะลุมบอนกันยืดเยื้อหลายปีจนกระทั่งจบลงที่สัญญาสงบศึกในที่สุด เข้าไปในวิหารก็จะได้เห็นภาพเรื่องราวเหล่านี้บ้าง นับตั้งแต่ภาพการรบทัพจับศึกของรามซิสที่มีสิงโตคู่ใจที่ท่านเลี้ยงจนเชื่องคอยออกรบคู่กับท่าน (ใครจำสิงโตตอนที่แล้วที่ทำให้ไกด์เราใจเต้นได้บ้าง อิอิ) หรือกระทั่งภาพรามซิสกำลังประหารนักโทษด้วยท่วงท่ากรีดกรายราวร่ายรำ ใครอยากได้รูปสวยๆก็ต้องลงทุนซื้อหนังสือกัน เราอยากได้หนังสือเล่มที่ไกด์เอามาเล่าให้ฟัง แต่หาจนแล้วจนรอดจนถึงวันกลับก็หาไม่มี น่าเสียดายจริงๆ ถัดไปเราก็ไปแวะชมวิหารอันเล็กของพระนางเนเฟอร์ทารี วิหารของพระนางมีรูปปั้นของพระนางขั้นอยู่ระหว่างรูปปั้นของรามซิสทั้งสี่ (ปกครองสี่ทิศ) วิหารนี้แสดงเนเฟอร์ทารีในร่างเลียนแบบเทพีฮาเธอร์หรือเทพีวัวของเรานั่นเอง คือเป็นวิหารที่บูชาเทพีฮาเธอร์ และยกย่องเนเฟอร์ทารีเสมอเหมือนเทพีฮาเธอร์ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:52:19

ความคิดเห็นที่ 8   ด้านในวิหารก็จะมีรูปเธอมีหูยาวเป็นหูวัว เนื่องจากเทพีฮาเธอร์เป็นเทพีแห่งเสียงดนตรี ในวิหารก็จะเห็นเนเฟอร์ทารีในท่าเล่นดนตรี ถือเครื่องดนตรีต่างๆมากมาย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:52:40

ความคิดเห็นที่ 9   ส่วนตัวชอบวิหารนี้มาก หนึ่งล่ะเพราะโรแมนติกที่ฟาโรห์ฉีกประเพณีสร้างวิหารให้ชายาเพราะรักมาก สองเพราะเนิร์ดดี มีหลักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์คำนวนเรื่องแสงอาทิตย์ส่องให้พอดีพอดีได้กระนั้น สามก็เพราะความยิ่งใหญ่โอฬารที่ได้เห็นด้วยตาก็แสนทึ่ง แถมวิหารอันยิ่งใหญ่นี้ยังถูกซอยถี่ยิบแล้วย้ายมาทั้งอันโดยไม่บุบสลาย น่าทึ่งหลายต่อจริงๆ จบจากวิหารนี้ก็เดินออกมารอเวลากลับ ต้องออกจากที่นี่เก้าโมงเป๊ะ เพราะต้องไปพร้อมกับรถตำรวจ แหม นั่งรถมาสามชั่วโมง มีเวลาราวๆสองชั่วโมงให้เดินเอง แถมไกด์ก็เอาเวลาไปเล่านานมาก ได้ดูข้างในจริงๆแป๊บเดียว ยังเดินไม่ทั่วเลย แอบเสียดาย ขาออกได้ความรู้อีกอย่างว่าน้ำที่นี่โก่งราคาแพงมาก แน่สินะอยู่กลางทะเลทราย ไม่มีที่อื่นอีกในรัศมีสามชั่วโมง จะโก่งยังไงก็โก่งได้ แต่เสียใจจ่ะ เรารอบคอบเอาน้ำติดรถมา งานนี้ไม่ได้แอ้มเงินชั้นหรอก ตอนนั่งรถกลับแต่ละคนก็หลับเป็นตาย เราสินอนไม่หลับเพราะคุณไกด์มัวแต่คุยโทรสับหัวร่อต่อกระซิกกะใครก็ไม่รู้ ท่าทางจะจีบสาว ไม่งั้นคงไม่เมาท์ได้ยาวนานเกือบสามชั่วโมง ถ้าไม่เห็นว่าแน่นปึ้กละก็ จะถูกหักทริปก็เพราะทำหนูอดนอนนี่ล่ะ กลับมาถึงอัสวาน ก็ได้ฤกษ์ไปเดินดูเขื่อน High Dam ต้นเหตุที่ทำให้วิหารต้องถูกขนย้ายกับเค้า ไกด์บอกว่าเขื่อนนี้ส่งเสริมสามสิบเปอร์เซ็นต์ของการเกษตรของประเทศอิยิปต์และสร้างพลังงานไฟฟ้าหกสิบเปอร์เซนต์ของไฟฟ้าพลังน้ำที่ได้จากแม่น้ำไนล์เลยทีเดียว แถมโปรเจกนี้ยังเป็นโปรเจกที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีในทวีปแอฟริกา ปกติแม่น้ำไนล์นั้นจะท่วม นำความเสียหายให้พืชผลเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การที่น้ำท่วมก็จะนำพาดินอุดมสมบรณ์มาทับถมให้พื้อนที่เกษตรด้วยเป็นการชดเชยกันไป เมื่อมีการสร้างเขื่อนคนที่ได้รับผลกระทบมากอย่างที่เล่าไปข้างต้นก็คือชาวนูเบีย ดินแดนที่เคยเป็นถิ่นฐานชาวนูเบียยาวราวสามร้อยกิโลเมตรนั้นจะต้องจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด รัฐบาลนั้นก็จัดสรรที่ดินให้ชาวนูเบียย้ายไปอาศัย แต่เป็นพื้นที่แห้งแล้งไม่สมบูรณ์เหมือนก่อนชาวนูเบียก็เลยลำบากเหมือนกัน ไกด์เล่าว่าแถวนี้จระเข้เยอะมาก แถมตัวหนึ่งๆกินปลาราวเก้ากิโลต่อวัน ตัวใหญ่ๆนี่ยาวสักสามเมตรได้ บรึ๋ย การสร้างเขื่อนทำให้จระเข้ถูกกักอยู่บริเวณนี้มาก ทำให้ระบบนิเวศน์และประชากรปลาเสียสมดุล (คุณไกด์อินเทรนด์ วันนี้มาแนวอีโค่ด้วยนะเออ) การออกแบบเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าหน้าตาอย่างนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:53:30

ความคิดเห็นที่ 10   ขี้เกียจเขียนตัวเลขต่างๆเลยถ่ายรูปมาให้ดูเลย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:57:13

ความคิดเห็นที่ 11   ไกด์ยังชี้ให้ดูส่วนที่เคยใช้เปลี่ยนทางน้ำตอนสร้างเขื่อน และให้ดูประตูน้ำที่ไว้ลดระดับน้ำขึ้นลงให้เรือใหญ่ๆผ่านได้ นอกจากนี้ยังอาสาเก็บรูปให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ออกมาหน้าตาแบบนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:57:43

ความคิดเห็นที่ 12   ที่เห็นในรูปคล้ายๆดอกบัวคืออนุสรณ์ที่อิยิปต์สร้างเป็นการระลึกถึงและขอบคุณสหภาพโซเวียตที่ให้ยืมเงินมาสร้างเขื่อนอัสวาน มีมาออกแบบท่าให้ด้วยนะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:58:16

ความคิดเห็นที่ 13   ถัดจากเขื่อนอัสวานเราก็ออกเดินทางไปวิหาร Philae อันนี้ต้องนั่งเรือไป อย่าให้ดับกลางทางอีกล่ะ เง้อ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:58:59

ความคิดเห็นที่ 14   วิหารนี้ก็เป็นอีกวิหารหนึ่งที่จะถูกน้ำท่วม ต้องขนย้ายกันทีละชิ้นมาต่อใหม่เหมือนกัน แต่ละชิ้นจะถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยกระดุมเล็กๆที่ยังเหลือให้ได้เห็นประปราย วิววิหารจากในน้ำ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:59:28

ความคิดเห็นที่ 15   ที่ตั้งวิหารเดิมตอนนี้เหลือแต่ตอ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:00:10

ความคิดเห็นที่ 16   คุณไกด์คนนี้น่ารักอีกอย่าง คือสงสัยจะรู้ว่าพวกเรากลัวแดด (ดูแต่ละคนสิ ทั่งใส่หมวกโพกหัวออกขนาดนั้น ไม่รู้ก็นะ...) เวลาอธิบายก็มักจะพยายามหาที่ร่มๆ ให้พวกเรายืนหลบแดด รู้ใจซะขนาด ในรูป...เดินตามไกด์มาทางนี้นะเด็กๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:00:41

ความคิดเห็นที่ 17   คราวนี้ไม่มีเวลาเร่งรัด เราก็เก็บมุมสวยๆได้ชิลๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:01:13

ความคิดเห็นที่ 18   ไกด์เล่าว่า ณ ที่นี้เป็นจุดต้นเรื่อง เป็นจุดกำเนิดของตำนานของโอสิริสและไอซิส (อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วว่าตำนานเริ่มจาก Philae และย้อนทางขึ้น Kom Ombo ไป Edfu ไป Esna) ที่นี่เป็นพื้นที่สุดเขตแดนอาณาจักรอิยิปต์ เชื่อว่าที่นี่เป็นที่ที่ไอซิสมาพักรักษาตัวด้วยการดูแลของฮาเธอร์และได้มาคลอดโฮรัสที่นี่ ถ้าจำไม่ผิดเรือนี้เป็นฉากการคลอดโฮรัส ถือว่าการลงเรือในแม่น้ำไนล์เป็นการชำระให้บริสุทธิ์ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:04:38

ความคิดเห็นที่ 19   รูปฮาเธอร์ โฮรัส และไอซิส เริ่มดูกันคล่องหรือยังคะ เดินทางมาด้วยกันหลายวัน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:05:02

ความคิดเห็นที่ 20   วิหารนี้เป็นเสมือนสุสานที่ไอซิสสร้างให้โอสิริส ดังนั้นจึงมีหน้าตาต่างมากมายเพื่อให้ไอซิสสามารถมองลอดเข้ามาในวิหารมาเห็นสวามีสุดที่รักได้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:05:28

ความคิดเห็นที่ 21   รูปนี้เป็นรูปฟาโรห์บูชาเทพโอสิริส ไอซิสยืนอยู่ข้างหลังกางปีกปกป้อง (ที่ราให้ปีกแก่ไอซิสไงคะ) ดูที่โอสิริสที่ถือไม้เท้าแห่งความมั่งคั่งหัวยีราฟ จะเห็นว่าโอสิริสถูกพันเป็นมัมมี่อยู่ เลยดูกลมๆ ไม่มีรายละเอียดเสื้อผ้า การแสดงภาพโอสิริสเป็นเหมือนถูกพันๆเป็นมัมมี่นี่ก็เห็นบ่อยเหมือนกัน นอกจากนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเป็นว่าโอสิริสยืนอยู่บนแทนเหลี่ยมๆ เพราะโอสิริสเป็นเทพแห่งความตาย ไม่สามรถยืนอยู่บนโลกมนุษย์ได้ ต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างโลกแห่งความเป็นและความตายคอยจับวิญญาณเพื่อไปส่ง (ถึงว่า เห็นโอสิริสยืนบนแท่นตลอด แต่ไม่ได้ถามไกด์ คุณไกด์ละเอียดมากนะนี่) อีกอย่างที่เห็นบ่อยแต่ลืมเล่าคือส่วนใหญ่จะเห็นโอสิริสมีเคราโค้งๆ แตกต่างจากฟาโรห์ที่เคราตรงๆ เพราะคนที่มีชีวิตอยู่เคราจะชี้ตรงลงพื้นดินแสดงถึงการปกครองในแดนมนุษย์ แต่ถ้าเป็นเทพจะเคราโค้งขึ้น (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกมนุษย์) แสดงถึงว่าสามารถมีอำนาจในโลกแห่งความตาย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:06:42

ความคิดเห็นที่ 22   เนื่องจากที่นี่เป็นเรื่องราวกำเนิดโฮรัส เราก็จะเจอโฮรัสตอนเด็ก ตั้งแต่ไอซิสยังอุ้มอยู่กับอก จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:07:15

ความคิดเห็นที่ 23   หรือยืนดูดนมเมื่อโตขึ้นมาหน่อย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:07:59

ความคิดเห็นที่ 24   สวยจังค่ะ เคยชมสารคดีการย้ายวิหาร ต้องบอกว่า มนุษย์เรานี่ สุดยอดแล้วค่ะ จากคุณ : pao_nowara เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:08:33

ความคิดเห็นที่ 25   อีกด้านมีรูปของฮาเธอร์เล่นดนตรี (ด้านล่างของภาพ) เวลามีรูปจะมีฮาเธอร์ยืนเรียงกันเจ็ดองค์เสมอ ไกด์บอกว่าเป็นตัวแทนของโน้ตทั้งเจ็ด (ว่าแต่โด เร มี นี่มันคิดขึ้นทีไหลังตั้งนานไม่ใช่หรอ) ด้านบนซ้ายจะเห็นเทพเขาแกะคือเทพอมุนมีน อีกร่างของเทพอมุน เป็นร่างที่สื่อถึงความสมบูรณ์พันธุ์ หรือ fertility (ถ้าจำกันได้วิหารก่อนๆกเห็นแวบๆ) สังเกตได้จากที่อวัยวะจะยื่นยาวออกมา อันนี้รูปสึกหรอ ดูยากเล็กน้อย ไกด์เล่าว่าเทพมีนนี้เกิดขึ้นมาจากเรื่องที่ว่า มีหมู่บ้านๆหนึ่ง ชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์ไปรบทั้งหมด ทิ้งหญิงสาวไว้กับตาเฒ่าคนหนึ่งที่แก่เกินจะออกรบได้ ไปออกรบตั้งนานกลับมาหญิงทั้งหมู่บ้านสี่สิบกว่าคนท้องหมดเลยสรุปว่าตาเฒ่าตีท้ายครัวชาวบ้านเค้าเกลี้ยง ชายหนุ่มทั้งหลายโกรธมากจึงตัดขาซ้านกับแขนขวาของเฒ่าผู้นี้ทิ้งเสีย (ในรูปก็พอเห็นว่าแขนขาดขาขาด) อย่างไรก็ดี ทุกคนก็ค่อนข้างอึ้งกับความสมบูรณ์พันธุ์ของตาแก่คนนี้ หลังจากนั้นจึงมีการยกย่องให้เป็นเทพแห่งความสมบูรณ์พันธุ์หรือเทพมีน ที่มักจะอยู่ในร่างร่วมกับเทพอมุนเป็นอมุนมีนนั่นเอง จดมาอีกอย่างว่าบางทีจะเห็นรูปฟาโรห์มีหาง (ไม่รู้ใช่มาจากรูปนี้ที่ยืนอยู่ตรงกลางหรือเปล่า) ไกด์ว่าหางนี้เป็นสัญลักษณ์ของวัวกระทิง เวลาฟาโรห์มีราชบุตรหลายองค์ ราชบุตก็ต้องแข่งขันกันแสดงความแข็งแกร่ง ผู้ชนะจึงจะได้ขึ้นครองราชย์ โดยการแข่งขันนั้นรวมถึงการวิ่งจากวิหารคารนัคไปวิหารลักซอร์ตาม Sphinx Avenue และการล่าวัวกระทิง (จากนั้นผู้ชนะจึงได้หางมาประดับ) จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:08:40

ความคิดเห็นที่ 26   เมื่อครั้งโรมันเข้ายึดครองอิยิปต์ จักรพรรดิโรมันได้ล่องเรือลงใต้มาไกลถึงนี่ วิหารนี้จึงได้รับการต่อเติมบางส่วนจากชาวโรมัน อย่างหินแกรนิตชิ้นนี้ที่เห็นเป็นคำประกาศของจักรพรรดิ Claudius ประกาศปลดปล่อยประชาชนจากการต้องจ่ายค่าภาษี จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:09:16

ความคิดเห็นที่ 27   เมื่อชาวโรมันนับถือคริสต์ เมื่อเข้ามาก็มีการสร้างมุมเล็กๆไว้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม อย่างที่เห็นนี่เป็นแท่นบูชาที่มีสัญลักษณ์ Coptic cross จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:09:55

ความคิดเห็นที่ 28   นอกจากนี้ ยังมีรอยสลักของผู้มาเยือนรุนหลัง ทั้งจากอังกฤษ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:10:29

ความคิดเห็นที่ 29   และจากฝรั่งเศส มีละติจูดลองติจูดเสร็จสรรพ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:11:13

ความคิดเห็นที่ 30   บริเวณด้านนอกวิหารยังแบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อย อย่างอันนี้เป็นคล้ายๆตลาดงานจิตรกรรม มีในสมัยพระเจ้าเนคทานโนโบ ศิลปินจะนำมานมาออกแสดงที่นี่ ถ้าท่านพอใจท่านก็จะเลือกซื้อมาประดับวิหาร ผลงานศิลปินคนใดโดนใจมากๆก็จะถูกเรียกตัวมาเป็นช่างหลวงสรางผลงานถวายวิหาารต่อไป จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:11:47

ความคิดเห็นที่ 31   นั่งเรือกลับจากเกาะก็เจอคนขับเรือเถื่อน แบบว่าท่าที่จอดเรือมันจอดเต็ม พี่แกก็ติดเครื่องแล้วเอาเรือพุ่งเข้าเบียดลำข้างๆ เร่งเครื่องไปเรื่อยๆจนลำอื่นถูกขูดกระเด็นออกนอกทางไปเอง ลำข้างๆที่มีคนอยู่เกือบเดินมาวางมวย สยองมาก ไกด์เนิร์ดของเราก็ดูเกร็งๆ ไม่สู้คน ไม่กล้าออกคำสั่งคนขับเรือว่าเลือกเหอะ ได้แต่ยกมือขอโทษขอโพยลำข้างๆไปแทน ต่อจากนั้นเราก็ไปแวะที่ Unfinished Obelisk ที่อัสวานนี่ร้อนมาก ร้อนจะตับแตก ไกด์บอกว่าตอนนี้ยังเย็นจ้า มาหน้าร้อน ห้าสิบองศาเหนาะๆเท่านั้นเอง ซีดส์ ลงจากรถแล้วเห็นทางที่ปีนขึ้นไปดูนี่แบบว่า หนูขอไม่ดูได้มั้ย แต่คุณไกด์ก็พาขึ้นไปอยู่ดี อย่างน้อยก็ยังพาไปหลบหลังหินก้อนใหญ่พอมีร่มเงาแล้วค่อยอธิบาย ไกด์เนิร์ดของเราก็เริ่มจากการ outline ก่อนตามเคย อืมเป็นระเบียบจริงๆ มาปั๊บก็บอกว่า วันนี้จะอธิบายให้ฟังสามเรื่องนะจ๊ะ หนึ่งสองสาม ว่ากันไป แล้วค่อยเริ่มเล่า ไกด์บอกว่า หินแกรนิตส่วนใหญ่ที่สร้างวิหารในยุคโบราณ ขนไปจากอัสวานทั้งนั้น แกรนิตเหล่านี้มีสองแบบคือ แกรนิตแบบธรรมดาที่หนักมาก และแกรนิตจากภูเขาไฟ (volcanic granite) ที่เบาและทนทานน้อยกว่า แกรนิตอย่างดีนี้มีราคาแพงและทนความร้อนได้สูงมาก Obelisk อันนี้ทำไม่เสร็จเพราะพบรอยแตกในหินเสียก่อน ถ้าทำสำเร็จคาดว่าจะสูงถึง สี่สิบสองเมตร และหนักถึง พันสองร้อยตันด้วยกัน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:12:23

ความคิดเห็นที่ 32   จากนั้นไกด์ก็เล่าถึงกระบวนการทำว่าเริ่มจากการสกัดหินเป็นโครงคร่าวๆ แล้วเจาะรูห้ารูที่ขอบ แต่ละรูห่างราวหนึ่งเมตร เมื่อได้รูที่ใหญ่พอควรแล้วจึงอัดไม้ซีดาร์ลงไป หลังจากนั้นจึงรดน้ำทุกวันเพื่อให้ไม้ซีดาร์ขยายตัว แรงอัดจากการขยายตัวนี้จะทำให้หินแยกออกจากกัน จากนั้นช่างจึงจะใช้ลิ่มสกัดทีละนิดๆ (เพราะหินแข็งมาก) ลงไปเรื่อยๆจนได้ด้านครบสามด้าน ระหว่างที่สกัดไปจะต้องเททรายไปแทนที่เพื่อให้หินทรงตัวอยู่ได้ เนื่องจากกระบวนการยากและช้ามาก อันหนึ่งๆนี่ใช้แรงงานราวพันเจ็ดร้อยคนและใช้เวลาราวเจ็ดสิบปี โอ้วแม่เจ้า จดมาประมาณนี้ ตัวเองก็ยังงงๆ ไม่ได้เป็นวิศวะ เค้ามองไม่ค่อยเห็นภาพ งื้อ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:13:07

ความคิดเห็นที่ 33   เห็นเสาใหญ่และหนักขนาดนี้ เวลาทำเรือเรือก็ต้องทั้งใหญ่ ทั้งรับน้ำหนักได้ น่าทึ่งว่าวิทยาการสร้างเรือจะเจ๋งขนาดนั้น เสาหนักมากเลยต้องรอแม่น้ำไนล์น้ำท่วมหลากเพื่อที่ท้องเรือจะได้ไม่ครูดท้องน้ำ นอกจากนี้ยังต้องทำทางลำเลียงหินลงโดยต่อทางออกมาจากแม่น้ำไนล์ เพื่อเมื่อน้ำหลาก เรือจะได้เข้ามารอรับ ให้ขนเสาหินลงเรือได้พอดีๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:13:43

ความคิดเห็นที่ 34   ดูเสร็จกลับขึ้นรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ กลางวันนี้เราขอให้ไกด์พาไปกินร้าน Chef Khalil ร้านอาหารทะเล (จากโลนลี่อีกแล้วจ้า) ร้านนี้เป็นร้านอาหารทะเล จับปลามาจากทะเลแดงและทะเลสาบนัซเซอร์ งานนี้เชิญไกด์มาทานด้วยกัน เลยสบายให้คุณไกด์ซึ่งรู้ภาษาสั่งให้ เรารีเควสท์ไกด์ให้สั่งน้ำ Hibiscus มาให้ทานกันด้วย คุณไกด์ก็ไม่ทิ้งลาย นั่งอธิบายสรรพคุณของเจ้าน้ำ Hibiscus ไปพลางๆ ว่าถ้ากินร้อนจะลดความดันเลือด แต่ถ้ากินเย็นจะเพิ่มความดัน โห ไกด์เรียนพฤกษศาสตร์ด้วยมั้ยนี่ คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าไกด์ของเราจบปริญญาโทด้านเฮียโรกลิฟฟิคมาโดยเฉพาะหลังจากเรียนตรีด้าน tourism โอ้ย มีดีกรีนี่เอง ถึงว่า เนิร์ดได้ใจ เวลาอ่านเฮียโรกลิฟฟิคงี้ เสียงจะก้องกังวาน ขลังสุดๆ (แอบถ่ายคลิปวิดีโอมาด้วย) เค้าบอกว่าเค้าเป็นลูกครึ่งนูเบีย โดยพ่อเป็นนูเบียและแม่มาจากอเล็กซานเดรีย เค้าถึงพูดภาษานูเบียที่กำลังจะสูญหายเป็นด้วย ถึงว่า ตอนพูดเรื่องนูเบียถูกอพยพเฮียอินมาก เค้ายังบอกอีกว่าเค้าไฝ่ฝันที่จะเป็นไกด์มาตั้งแต่เด็กจนเพื่อนที่โรงเรียนตั้งสมญานามให้เป็นภาษาอาหรับว่าไกด์ตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้เค้าก็ได้ทำตามความฝันของเค้าอย่างจริงจัง ฟังแล้วก็ปลาบปลื้มสุดๆ ถึงว่าทำไมเค้าตั้งใจ เค้าอินในการเล่าขนาดนี้ หลายๆอย่างฟังแล้วขนลุกซู่ อินไปกับความยิ่งใหญ่และความน่าอัศจรรย์ของสิ่งที่ได้พบได้เห็น เป็นเพราะไกด์เล่าด้วยใจนี่เอง ขอซูฮก แล้วอาหารก็ทยอยมาลง โอ้ว มันลงมาใหญ่ขนาดเนี้ย สองชุดค่า ถึงกับช็อก นี่กุ้งเผากับปลาหมึก จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:14:26

ความคิดเห็นที่ 35   ส่วนนี่ปลาย่างตัวยักษ์ ไกด์เห็นก็ทำท่าช็อก ต่อด้วยทำท่าสยองเพราะเห็นอาการแร้งลงของพวกเรา โอ้ย กินแต่อาหารซ้ำๆมาหลายวัน เจอกุ้งหอยปูปลารสแซบนี่ แต่ละคนเก็บอาการกันไม่อยู่หรอกค่ะ กินไปน้ำตาไหลไป แหม นี่ถ้ามีน้ำจิ้มทะเลละก้อ บรรเจิด เสร็จแล้วคุณไกด์ก็ต้องช็อกรอบสอง เพราะของที่ลงมาเรียบสราวุธไปต่อหน้าต่อตา ปลานี่แทะก้างจนแทบจะกินก้างเข้าไปด้วยเลย ไม่รู้ฝีมือแกะกุ้งแทะปลาของคนไทยซะแล้ว จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:14:52

ความคิดเห็นที่ 36   ตบท้ายด้วยการซดชา Hibiscus ร้อน ๆ อิ่มใจ เก็บร้านรวงแถวร้านอาหารสีสันสดใส บรรยากาศเมืองเล็กๆมาให้ดู จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:15:26

ความคิดเห็นที่ 37   รายการสุดท้ายของวันคือการล่องน้ำไนล์ในเรือใบอีกรอบ คราวนี้กัปตันเรามาดเท่ ลงไปถึงก็ยื่นนามบัตรสวยงามให้ ไปอ่านที่เวปเค้ามีนำทัวร์ไปพักบนเกาะ Elephantine บ้านเค้าแนวๆโฮมเสตย์ด้วย คนชมกันเปาะ นี่ให้บัตรเสร็จก็บอกให้ถ่ายรูปเค้าเยอะๆ แล้วถ้าถูกใจอย่าลืมไปโปรโมทลงเวปให้เยอะๆด้วย แหม จ๊าบจริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:17:19

ความคิดเห็นที่ 38   บรรากาศล่องเรือแม่น้ำไนล์ก็เป็นไปอย่างชิลๆ ลมเย็นๆ น้ำใสๆ รู้สึกว่าเป็นเพราะซัดข้าวกลางวันนานเกินไปเลยอดลงไปดูหมู่บ้านนูเบีย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:17:54

ความคิดเห็นที่ 39   ระหว่างล่องเรือก็มีบริการพิเศษต้มชาแบบนูเบียมาเสริฟกันกลางเรือด้วย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:18:24

ความคิดเห็นที่ 40   ชานูเบียอร่อยมาก มีรสมินต์อ่อนๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:18:55

ความคิดเห็นที่ 41   เสร็จแล้วก็กลับโรงแรมเก็บของและร่ำลากับคุณไกด์หน้าสนามบิน ไกด์เค้าบอกจะลาแบบกอดกันแบบอิยิปต์ก็ได้นะ รีเฟลกซ์ของเราก็คือ ยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์ทันที แหะๆ ไม่กอดไม่ว่ากันนะคะคุณไกด์ ยังไงไกด์ก็ได้ใจหนูไปเต็มๆแล้วนะ ก่อนแยกจากเราก็ทิปไปอย่างหนักด้วยความถูกใจ ไกด์เขิลด้วยล่ะ น่ารักน่าหยิกจริงๆ อ้อ แอบขอเฟซบุ๊คของไกด์มาได้ด้วยนะ เดี๋ยวรับเฟรนด์เราเมื่อไหร่จะไปจองล้างจองผลาญถามอีก (สังสัยกลัวเลยไม่รับแอดซักที เหอๆๆ แต่เหมือนจะแอบรับของน้องชายเราไปแล้วล่ะ หรือเค้า...หรือเค้ารับแต่ผู้ชาย...ม่ายยยยย) รูปโรงแรมเราที่ติดแม่น้ำไนล์ ทางเข้าต้องเดินลงไปต่ำกว่าระดับถนนด้วย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:19:35

ความคิดเห็นที่ 42   อำลาอัสวานและคุณไกด์ผู้น่ารักบินกลับไคโร ทริปนี้ได้ความทรงจำดีๆมากมายก็เพราะคุณไกด์เนิร์ดนี่ล่ะ ปลื้มจริงๆ กลับไปว่าจะไม่กินเยอะเพราะอิ่มจากกลางวันแต่ดันไปเดินผ่านร้านซูชิบุฟเฟต์ ก็เลยออกอาการอย่างนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:20:45

ความคิดเห็นที่ 43   อยากจะจบทริปด้วยความทรงจำดีๆตรงนี้ ไม่รู้เพื่อนๆจะงอนมั้ยถ้าไม่พาชมตัวเมืองไคโร พาลอยตุ๊บป่องที่เดดซี ดูปะการังที่เรดซี แล้วก็ชมหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เพทรา ถ้ามีคนยังอยากตามไปจอร์แดนจริงๆ อาจจะลุกมาอีกเฮือกค่ะ ถ้าไม่มีเสียงเรียกร้องมาก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามค่า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:22:39

ความคิดเห็นที่ 44   ตามมาดูต่อค่ะ...แต่ก็ยัง..งง..งง..อยู่กับเทพเจ้า ชอบวิหาร อาบูฯ มากค่ะ   ยังไม่เคยไปเลย... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:24:14

ความคิดเห็นที่ 45   ถ้าไม่พาไปเที่ยวต่อ งอนจริงๆด้วยครับ รีวิวสนุกมากๆครับ ขอบคุณนะครับ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 23:58:03

ความคิดเห็นที่ 46   เรากำลังเที่ยวสนุกเลย แต่ง่วงแล้วล่ะ พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อนะคะ จากคุณ : mandymook เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 00:59:54

ความคิดเห็นที่ 47   สนุกทุกตอนจริงๆค่ะ แต่ไม่เห็นโฉมหน้าคุณไกด์เลยในตอนนี้ ^^ จากคุณ : ก่วยก๊วยตาลสด เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 01:13:42

ความคิดเห็นที่ 48   อยากเที่ยวต่อ....อย่าเพิ่งจบค่ะ......พาป้าไปเที่ยวอีก......ม่ายงั้นจา...งอนๆๆๆๆๆๆ... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 02:38:57

ความคิดเห็นที่ 49   แล้วจะมาติดตามต่อนะครับ มารีวิวอีกนะครับ จากคุณ : Nomadic Molek เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 10:30:13

ความคิดเห็นที่ 50   ได้โปรดเถอะคะคุณ Mnemosyne  เขียนต่ออีกนะคะ เราชอบมากๆเลย  ประเทศแถบๆนี้   เรื่องราวเก่าๆ เนี้ยก็ชอบมากๆ แต่เราคงไม่มีโอกาสไป  รึถ้ามีก็คงไปแล้วแบบลวกๆ  ไม่แม่น แอนด์ เนิรด์เท่า แน่ๆชอบมานานแล้ว  เพราะฟาโรห์เมมฟิสกะแครอลแท้ๆ (แอบรู้อายุได้เลย ) แต่เลิกอ่านมานานมากแล้ว  เจ๊ป้าไม่เขียนจบสักที หันไปอ่านเรื่องของเจ้าชายจากฮิตไทท์แทน  ตอนหลังๆมีราสเรส 2 มาแจมด้วย เขียนต่อ  รบกวนเคาะหลังบ้านแจ้งด้วยนะคะ   พอดีเดินทางบ่อย กระทู้ตกเร็ว  หาไม่เจอจะเสียดายอย่างหนัก  ขอบคุณล่วงหน้า้คะ จากคุณ : sherryone เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 11:42:31

ความคิดเห็นที่ 51   ตามอ่านทุกตอนแต่ไม่เคยแสดงตัวเลย  สนุกมากเลยค่ะ ได้ความรู้ด้วย เขียนหนังสืออ่านง่าย เข้าใจง่ายจัง จะติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ จากคุณ : เรียกฉันว่าที่รัก เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 12:27:38

ความคิดเห็นที่ 52   มาลงชื่ออีกคนว่า ช่วยลงภาคต่อให้จบด้วยเถอะค่า พลีสสสส จากคุณ : oub_ib เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:34:12

ความคิดเห็นที่ 53   เพิ่งตามอ่านจนจบครับ ตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้เลย เล่าเรื่องสนุกมากๆ แถมได้เกล็ดความรู้อีกเยอะด้วย เป็นอีกประเทศที่ผมฝันถึงมานานแล้วครับ ตั้งแต่คำสาปฟาโรห์เล่มแรกเลยอ่ะ อ้อถามหน่อยนะครับ ปิรามิดที่กีซ่า ได้เข้าไปข้างในมั้ยครับ เพราะที่ดูริวิวมา ไม่เห็นมีรูปด้านในเลย หรือว่าห้ามเข้าไปครับ ปล. โหวตให้ริวิวเพิ่มนะครับ จะตามอ่านจนจบเลยครับ จากคุณ : Juone เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:38:50

ความคิดเห็นที่ 54   งอนครับงอน พาไปชม Dead sea ด้วยนะคับ อยากเห็นรีวิว จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 22:03:23

ความคิดเห็นที่ 55   เป็นประเทศที่อยากไปค่ะ จากคุณ : xammy เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 14:10:54

ความคิดเห็นที่ 56   เป็นประเทศที่อยากไปมากๆๆค่ะ ยิ่งเห็นยิ่งอยากไป ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆค่ะ จากคุณ : NiracharA เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 11:55:27