ทริปเพิ่มน้ำหนักที่เชียงคานช่วงคริสมาส
|
|
ผมไปเชียงคานเพราะเคยชอบปายสมัยก่อน แล้วได้ยินมาว่าใกล้เคียงกัน ตอนผมไปปายตอนนั้น ไปแบบวางแผนไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆเต็มไปหมด สรุปคือปายคือที่นอนของผมอย่างเดียว >>>>ก็ยังดี
คราวนี้เอาใหม่ ไปเชียงคานคราวนี้ตั้งใจไปนอนเล่น-นั่งเล่น พักผ่อนอย่างเต็มที่ แล้วก็สมใจครับ เดินเล่น คุยกับชาวบ้านเค้าไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านไหนเค้าเรียกกินข้าว เอ้า...กล้าเรียก เราก็กิน แจมไปหลายบ้านทีเดียว แต่ละบ้านเค้าก็จะแนะนำให้ไปร้านนี้สิร้านโน้นสิ เราก็ไม่อยากเสียกำลังใจ ไปหมด
เริ่มจากร้าน โพธิ์ทองอยู่ริมโขง นั่งเล่นรออยู่ชั่วโมงกว่าๆ ถึงได้อาหาร นี่ดีนะไม่ได้วางแผนไปเที่ยวไหน ก็นั่งรอไป คุยกับคนอื่นไปด้วย เพราะวันที่ไปกินนั้น เต็มหมด แต่มีเราโต๊ะเดียวที่เป็นคนนอกไม่ใช่คนพื้นที่ ดีจัง แนะนำว่าใครจะไปให้โทรไปสั่งอาหารก่อนเพราะเจ้าของร้านทำเอง ช้าหน่อยแต่อร่อยจริงๆ ปลาคังลวกจิ่ม ต้มยำปลาน้ำโขง ไส้อั่วก็เด็ดมาก
วันรุ่งขึ้นตื่นซะสายเลยแต่ตื่นเต้นมากเพราะมองอะไรไม่เห็นเลยหมอกเต็มไปหมด อย่าว่าแต่ฝั่งลาวเลย แม่น้ำโขงหน้าที่พักยังไม่เห็นเลย จากนั้นไปร้านสุวรรณรามา ที่เป็นโรงหนังเก่าแก่ดัดแปลงมาเป็นร้านกาแฟ ซัดไข่กระทะ ขนมปังแล้วก็กาแฟให้ตื่นซะอืดเลย แล้วก็ขับรถไปถ่ายรูปพระใหญ่พอเหนื่อยๆ แล้วก็มานอนนวดไทย ก่อนนวดไม่มีคนเลย นวดไปนวดมาหลับไปซะแล้ว ตื่นมาอีกที คนเต็มร้าน น้องที่มานวดบอกไม่ไหวอากาศมันยังร้อนอยู่เดินถนนล่างเที่ยวไม่ไหว
นวด/หลับซะ 2 ชั่วโมงแล้วก็ไปหาป้าลี่ซัดขนมเส้นเป็นอาหารว่างยามบ่าย แปลกดีนะคล้ายๆก๋วยจั๋บใส่เครื่องในน้ำใส จากนั้นก็ขับรถไปจุด"ต้องไป"ของเชียงคาน คือแก่งคุดคู้ไปถึงเราก็เห็นก่อนเลยคือ มะพร้าวแก้วสีสันน่ากินที่สุดก็เลยได้ติดไม้ติดมือมา 3-4 ถุง ระหว่างนั้นตาก็เหลืบไปเห็นก้งฝอยทอดกรอบเป็นแผ่นๆเลย กลืนน้ำลายแล้วก็ต้องหันหลังให้เพราะพึ่งซัดขนมเส้นมา เดินหนึ่งรอบแล้วก็ซื้อผ้าฝ้ายทอมือติดมือมาด้วย 3-4 ผืน
จากนั้นก็ไปสำรวจเส้นทางไปภูทอกเพราะได้ข่าวว่าหนทางลำบากพอดู อยากจะเห็นเส้นทางตอนยังมีแสงอยู่ ไปสำรวจดูสถานที่ว่าวันพรุ่งนี้ตีห้าเราจะมาตั้งกล้องถ่ายทะเลหมอกตรงไหนดี เริ่มเครียดนิดหน่อยเพราะมีที่นิดเดียวแต่คนต้องแยอะแน่ๆ มันจะกลายเป็น"ภูหัวเห็ด"มากกว่า พอดีมีคนท้องถิ่นขี่รถเล่นอยู่แถวนั้น ถามเค้าแล้วเค้าบอกว่า โอยลงมาต่ำอีกนิดเดียว มีลานกว้างเลย เห็นได้รอบ 360องศาเลย แหมโชคดีจริงๆ
กลับเข้าตัวเมืองแวะซื้อน้ำเปล่าไปกิน มีรถขายขนมโตเกียววิ่งผ่านก็เลยโบกซะ ซัดอย่างคาวและหวานไปอย่างละอัน กินแล้วคิดถึงตอนเด็กๆ...ชอบ
อากาศไม่ร้อนแล้วก็ได้เวลาไปเดินเล่นที่ถนนล่างซื้อของ ถ่ายรูปเล่นกัน ผมประเมินว่ารถยนต์ที่เห็นในเชียงคานช่วงเวลาที่ผมไปนั้น 90 % เป็นทะเบียนกรุงเทพ แล้วตรงถนนล่างเนี้ย 95% มีกล้องถ่ายรูปมาด้วย แล้วไม่ใช่กล้องเล็กนะ แต่ละคนผมเห็นมาเป็นเลนส์เทเล เลนส์wide ตัวใหญ่ๆกันท้งนั้น
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว เริ่มเมื่อยๆ แวะที่ร้าน Open & Close Cafe ที่คุณเจ้าของร้านมีแมวตัวใหญ่มากๆ อยู่ด้วย คุยกันเค้าบอกว่าแม่ให้มาเลยตั้งใจจะเลี้ยงให้ดี แหมเลี้ยงซะดีเชียว เค้าเล่าอีกว่าเมื่อวันปิยะที่ผ่านมา เชียงคานไม่มีที่เดินเลย เต็มไปหมด ปีใหม่ว่าจะหนีเข้ากรุงเทพ เพราะได้ข่าวมาว่าช่วงวันหยุด กรุงเทพรถไม่ติด อิอิ
ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินเสร็จก็จ่ายตังค์ค่ากาแฟ ออกมาเจอพี่ขายขนมโตเกียวอีกรอบ เลยคุยกันอึกพักนึง จนต้องไล่ให่ไปขายของต่อได้แล้ว
เราก็ไม่รอช้าซื้อข้าวเกรียบปากหม้อซะหนึงชุด เพื่อกินระหว่างรอแฟนสระผมที่ร้านพิมพ์บิ้วตี้ ทำอยู่คนเดียวพี่พิมพ์บอกว่าอาทิตย์นึงงานเยอะแค่ 2 วันไม่รู้จะจ้างคนอื่นทำไม แล้วก็เดินไปคุยกับนักท่องเที่ยวที่มาพักที่ Homestay เพลิน เพลิน อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านสระผม หลังจากผมสวยแล้วก็เดินเล่นกันต่อ แฟนบอกว่าขอข้ามอาหารค่ำเพราะยังกินไม่หยุดเลย ไม่อย่างนั้นวันรุ่งขึ้นคงตื่นขึ้นภูทอกไม่ไหวแน่ๆ แต่ผมว่าถ้าหิวตอนกลางดึกจะแย่นะ หาอะไรกินเบาๆแล้วกัน สรุปแล้ว ต.ข้าวต้มคือคำตอบของเรา กินปลาน้ำโขงฉู่ฉี่ หมูแดดเดียว ผัดผักบุ้งไฟแดง กับข้าวต้มร้อนๆท้อง กำลังกินกันอยู่น้องเค้าเอาข้าวผัดกุ้งมาวาง หอมมาก จนต้องหันไปถามน้องเค้าว่า ไม่ได้สั่งนะ ผิดโต๊ะหรือป่าว แต่ถ้าทำผิด ไม่คืนนะ จะกิน น้องเค้าบอกกินเลยค่ะ ปรากฎว่าไม่ผิดหวัง อร่อย
สามทุ่มกว่าๆ แสงทองผับก็เปิดเพลง เราก็เลยคิดว่าไม่อยากฟังกลับไปนอนตีพุงดีกว่า ปรากฎว่าแถวที่พักมีงานวัด เปิดเพลงดังกว่าอีก หลังจากสงบได้ไม่นาน หมาเจ้าถิ่นก็เห่าหอนไล่กัดกัน โอย....กว่าจะได้หลับตาอย่างสบาย
ตีห้าเปิดตามาได้ ล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวไปดูทะเลหมอก กำลังจะขึ้นรถแล้วก็เอะใจว่า เอะ...ทำไมเราเห็นไฟฝั่งโขงวะ แล้วก็เริ่มเครียดว่า ตายละหว่า เกิดวันนี้ไม่มีหมอกทำไงเนี่ย
กลั้นใจตามแผนกันต่อ เดินทางขึ้นภูทอกแล้วก็ดีใจว่า ดีนะที่มาสำรวจเส้นทางมาก่อนไม่งั้นหลงแน่ อันตรายด้วย ถึงมุมสงบ เป็นกลุ่มที่ 2 พวกแรกเป็นเด็กวัยรุ่นมาจากอุดร 3 คน มานอนกันตั้งแต่เมื่อคืน จุดไฟให้ความอบอุ่นกันเข้าไป เรามองไปทางทิศตะวันออกที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เริ่มเครียดมากขึ้น เพราะไม่มีหมอกเลย ฟ้าโปร่งมาก ประมาณเกือบหกโมงเช้าเราเริ่มเห็นหมอกเป็นก้อนๆ ลอยมารวมตัวกัน ผ่านหน้าเราไปเลย เกิดมาไม่เคยเห็น ทุกครั้งที่เห็นทะเลหมอก เราขึ้นไปปุปเค้าอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่นี่เห็นตั้งแต่ไม่มีอะไรจนเป็นหมอกหนา ตะลึง ขอบคุณชีวิตที่ได้เห็น ไม่นานจากนั้นเราก็เห็นไฟรถมาเป็นสายยาว เริ่มมองว่าจะปักหลักตรงไหนดีเวลาคนเยอะๆ ปรากฎว่าไม่มีรถคันไหนแม้แต่คันเดียวที่จะแวะที่เดียวกับเรา เค้าเลือกที่จะไปจุดสูงสุดที่เราปฎิเสธมากกว่า ดีจัง ถ่ายกัน 360 องศา ไม่มีใครเลย เพราะน้องพวกแรกก็นอนปิ้งไฟกันอย่างเดียว ฝากรูปมาให้ดูกันด้วย ถ้าจุดชมวิวถ่ายแล้วสวยกว่านี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว
ถ่ายรูปเสร็จรีบลงจากภูมาใส่บาตรข้าวเหนียวแล้ว คุณป้าใจดีที่ขายเหนียวให้บอกป้าคิดแต่กับข้าวแล้วกัน ข้าวเหนียวไม่คิดรวมกันทำบุญ เสียป้าไปคนละ 15 บาทค่าไข่ กับข้าวแล้วก็ของหวาน
เมื่อพระฉันแล้วก็ถึงคิวคนบ้างแล้ว อาหารพื้นเมืองคนเชียงคานที่ต้องลองคือข้าวปุ๋นน้ำแจว ถามมาหลายคนแล้วร้านเด็ดที่แม้แต่คนพื้นเมืองยังยอมรับในเรื่อง"เครื่องถึง"แล้วต้องป้าอ๋อย ซอย 5 ถนนบน เป็นเพิงเล็กๆ ป้าอ๋อยทำ คุณยายจะมาเสริฟ เราเห็นแล้วเลยต้องไปรับเองสงสารแก แต่โค-ตะ-ระ อร่อย แบบ ซูโก่ยๆๆๆ พอคนซาลง คุณยายที่ร้านก็มาคุยกันแล้วเอาข้าวเหนียวกับกะปิมาให้กิน เราก็มองหน้ากันแล้วก็ลองดู เออแฮะ ใช้ได้นะ ไม่ทันไรยายก็เอาน้ำพริกเผาทำเองมาให้จิ้มข้าวเหนียวกินด้วย ไม่น่าเชื่อ อร่อยอีกเหมือนกัน รสหวานนิดๆ มันๆหน่อยๆ หอมอะไรไม่รู้ตุ๊ๆเวลากิน อันนี้เด็ดมาก อยากซื้อแต่ป้าอ๋อยไม่ยอมขาย บอกแบ่งให้ไปกินละกัน ไม่ได้ไว้ขายทำเอาไว้กินเอง สรุปไม่รู้ใครขาดทุนใครกำไรเงิน เพราะเราก็เอาปาท่องโก๋ที่ได้จากตลาดสดเทศบาลกับขนมครกมากินกันกับยายเค้า แต่ที่แน่ๆผมรวยน้ำใจจากมื้อนี้ไปแยะมาก
อิ่มขนาดนี้ทำอะไรต่อไม่ไหวแล้ว กลับไปที่พักนอนดูแม่น้ำโขงเย็นๆใจ นอนจน เหมือนที่โบราณเค้าว่าตะวันส่องก้นเลย เดินเล่น นั่งคุยกับคุณพี่ที่พักเรื่องเชียงคานกับความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสายและความพยายามของคนพื้นเมืองที่พยายามจะต้อนรับความเปลียนแปลงและรักษาความเป็นเชียงคานไว้ให้ได้ดีที่สุด ผมก็ได้แต่เอาใจช่วยด้วยคน ทำที่เราทำได้ เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เราเป็นผู้เยือน ทำอะไรก็ต้องเกรงใจผู้เหย้าหน่อย เราก็คงไม่ชอบถ้าใครมาที่บ้านเราแล้วมาจัดที่จัดทางใหม่ของเราซะไม่เหลือชิ้นดี เนอะ...
กระโดดผ่านน้ำเย็นเจี้ยบอีกรอบก่อนเข้าตัวเมืองมุ่งหน้าไปร้านเฟื่องฟ้า ตำนานบะหมี่40กว่าปีของที่นี่เค้่ากับ เส้น Homemade นี่เป็นร้านที่ตั้งใจมามากเพราะส่วนตัวชอบบะหมีมาก ไปที่ไหนผมต้องไปลองบะหมี่ของที่นั้น เส้นเค้าเหนียวนุ่มดีมาก เสียดายหมูแดงชิ้นเล็กไปหน่อย แต่น้ำซุปนี่ไม่แพ้ใครเลย
กินเสร็จก็โบกมืออำลาเชียงคาน มุ่งหน้าไปอุดรเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ ก่อนถึงสนามบินก็ต้องแวะเข้าเมืองไปโซ้ยแหนมเนืองชื่อดังซะหน่อย อร่อยดีจัง ขนซื้อกลับบ้านเป็นของฝากด้วย แต่พอถึงสนามบิน ดันมีขายเต็มไปหมด แหมอุตสาห์หิ้วมาจากร้าน
สรุปผลทริปนี้ว่านอกจากน้ำหนักที่ขึ้นมา 2กิโลกรัมแล้ว ผมถามตัวเองว่าถ้าผมไม่ได้ไปพระใหญ่ แก่งคุดคู้ ภูทอก (เพราะผมไปมาเท่านี้ จริงๆ) ผมจะรู้สึกอย่างไร เพราะกลุ่มที่พักที่เดียวกันเวลาเท่ากันเค้าเที่ยวกันเยอะแห่งมาก ผมก็ได้คำตอบว่า ณ ช่วงนี้ของชีวิต ความสุขของผมคือแบบนี้ เปรียบเทียบกับคนอื่นเค้าไม่ได้ ผมคงไม่เอาที่จะไปเที่ยวอย่างเค้า ขณะเดียวกันเค้าก็คงเบื่อถ้าเที่ยวแบบผม และบางขณะของชีวิต ผมก็เลือกที่จะเที่ยวอย่างเค้าเหมือนกัน สำคัญนั้นอยุ่ที่ใจเรา อะไรที่ทำให้เรามีความสุข นั้นคือการพักผ่อนแล้ว
เพี่ยงแค่เรานักท่องเที่ยวเดินทาง ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เคารพสถานที่ ทิ้งขยะไม่ต้องพูดถึง ไม่ควรทำอยู่แล้ว ไปภูเขาก็ไม่ควรไปเก็บดอกไม้กลับมา ไปทะเลดำน้ำ ก้ไม่ต้องไปงัดแงะปะการัง หรือไปจิ้มปลาการ์ตูน จะถ่ายรูปอะไรก็เคารพสิทธิ์ของความเป็นสิ่งมีชีวิตนึงในโลกใบนี้เหมือนกับเราเหมือนกัน
เครื่องแต่งกายนี้เป็นความเห็นส่วนตัวว่า กาละเทศะ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ไหนเค้าไม่นิยมเกาะอก คนเมืองก็อย่าไปใส่ใส่เค้าดูเลยครับ
นะ ช่วยๆกัน ให้คนอื่นๆได้ชื่นชมบ้าง
จากคุณ |
:
โมลาโมล่า
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ม.ค. 53 12:43:00
|
|
|
|