Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ปีใหม่ 2555 หลงป่า ภูหลวง จ.เลย วันที่ สี่ (8มกราคม55) vote ติดต่อทีมงาน

เรียน  ทุกท่าน ครับ

ต้องขออภัย  งานที่ทำมันยุ่งนิดหน่อย  จึงไม่ว่าง  จึงลงช้าไปหน่อยครับ
วันนี้ เป็นวันที่ครบรอบ  1  เดือนที่ลงจาก ภูหลวง  
เท้าข้างขวายัง ชา  ชา  ตรงปลายเท้าไม่หายดี
ซ่นเท้าที่แตกปริ  เป็นสีแดง  ก็ร่อน ออก มาเป็นแผ่น ๆ  ออกมาเลยครับ
ส่วนฝ่าเท้าตอนลงมา ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง เป็นสีดำอม สีน้ำตาลจากดิน
และใบไม้แห้ง ผุ ผุ  ดำทั้งสองข้างนั้น  ก็จางหมดแล้ว

ผมลงเรื่องราววันที่สี่  ให้ติดตามกันไปนะครับ
ด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ติดตาม  จนถึงวันสุดท้าย

..ภาพที่แนบ  เป็นน้ำที่ออกจากตาน้ำ  เป็นต้นแม่น้ำเลย ทางเลยวังไสย์ครับ

               

                                                        วันที่ 8 มกราคม 2555

คืนที่ผ่านไป    นอนคิดวางแผนเรื่องการหาทางลงจากเขาลูกนี้  
บางทีนอนดูพระจันทร์   ขณะใช้เสื้อคลุมโปง  
มองผ่านความบางของเสื้อก็มองเห็นพระจันทร์
เป็นดวงกลมเป็นฝ้า ๆ   ความหนาวเย็น
เข้ากระดูกเหมือนทั้งสองคืนที่ผ่านมา
( บันทึกเพิ่มเติม – ลุกขึ้นมาบันทึกการเดินทางวันที่สี่นี้   ตอนตีสี่ยี่สิบนาที ของวันที่ 19 ม.ค. 55 นอนตอนห้าทุ่ม  ห้าชั่วโมงที่หลับฝันแต่ป่าที่เดินตลอด  รู้สึกหิวน้ำมากเลยตื่น  ตกใจตื่น )

กลับไปที่ภูหลวงฝั่งทางลง     วันเมื่อวานเป็นวันที่หนักหนาสาหัส
ในการเดิน  แรงแทบไม่เหลือ  หิวทั้งข้าวหิวทั้งน้ำ
.....เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ........
พระจันทร์กำลังจะหมดเวลาทำงาน  
ตามองผ่านเสื้อเห็นว่าใกล้สว่างอีกไม่นาน........
พระอาทิตย์กำลังจะทำหน้าที่  แสงแรก  ค่อย ๆ สว่างขึ้น  ๆ  
จนพอมองเห็นภูมิประเทศรอบ ๆ ตัว  ก็ลุกขึ้นนั่งตรวจดูกล้องดูหมวกที่ใช้หนุนนอน กับใบไม้    ปวดฉี่ตั้งนานแล้วไม่อยากออกจากเสื้อที่คลุมอยู่  
จนทนไม่ไหวก็ลุกขึ้นมาเพื่อจะฉี่   ปรากฎเราลุกขึ้นไม่ไหว  ไม่มีแรงเลย
 จึงใช้วิธีคลานไปทางปลายเท้าแล้วก็ฉี่ใกล้ ๆ   แล้วคลานกลับมาแค่ครึ่งเมตรเองก็ถึงที่เรานอน  ก็นั่งคิดถึงตัวเราเองขณะนี้แทบไม่มีแรงเพราะไม่ได้น้ำกินยาวนานเกือบ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา  
   ก็ต้องนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อขอพลังจากแสงแรก  
ฟ้าเริ่มสว่าง  แหงนหน้าขึ้นดูความสูงของภู   กะประมาณสัก 50 ถึง  60 เมตรเห็นจะได้   จากที่เรานอนเมื่อคืน    
มองไปทางขวามือเยื้องขึ้นข้างบน   ที่เราโดนหนามเกี่ยวยึดจนเดินไม่ขึ้น     ต้นไม้เป็นพุ่มสูงสักสามเมตร   ข้างใต้พุ่มก็เห็นไม้เลื้อยที่เป็นหนามพันจิกตัวเราเมื่อคืนก็มีไม่กี่ต้นเอง    ทำไมจึงยึดเราจนเดินต่อไปไม่ไหว  
  ดวงอาทิตย์เริ่ม  สูงขึ้น สูงขึ้น  เราก็ใช้วิธีรวบรวมพลังจากธรรมชาติรอบตัวเราอย่างที่เคยทำ  ประมาณ 10 นาที กว่า ๆ  
เรี่ยวแรงเริ่มพอพื้นขึ้นมาบ้าง  ก็พยามลุกขึ้น
ขางี้สั่นพับ ๆ  ลุกไม่ไหว    ก็อยู่ท่าคลานสักพักก็ค่อย ๆ ชันเข่าลุกขึ้น  
มองทางที่จะมุ่งเดินหาน้ำบนใบไม้       เพื่อประทังความหิวเหมือนเมื่อวาน    พยามเดินเลี่ยงดงไม้ที่มีหนามเมื่อคืน   โดยออกทางซ้ายมือแทน
ทางขึ้นตรง  ๆ  ก็ค่อย ๆ ก้าวทีละก้าว   ตาก็มองยอดไผ่ว่ามีน้ำค้างหรือไม่   มือก็จับดู  ทำไมวันนี้ไม่มีน้ำค้างบนใบหญ้าเลย   ก็เดินขึ้น  เดินขึ้น
เพื่อจะขึ้นเส้นทางช้างเส้นบน
(มีสองทางเดิน บน-ล่าง)  
เมื่อก็มองหาน้ำตามยอดไม้จับดูใบก็เย็นเฉียบเหมือนมีน้ำ  ลองเลียดูก็ไม่มี    ก็คิดว่าฝั่งคงเป็นทิศใต้ของภูหลวง    เมื่อวานเราอยู่ตะวันออกลมที่ตีปะทะพาน้ำค้างไปจับที่ยอดใบไม้    ฝั่งนี้ความชื้นน้อยกว่าจึงไม่มีน้ำค้างให้ประทังอาการคอแห้งได้เลย    คิดถึงแต่เรื่องน้ำ............
      นึกถึงสารคดีที่เราเคยดู   ฝรั่งบอกว่าช้างสามารถได้กลิ่นน้ำได้ไกลออกไปเป็นร้อยกิโมเมตร  ช้างจะเดินไปกินถูก  คิดได้ดังนั้นเดินทางรอยทางเดินใหญ่ของช้าง
       ระหว่างเดินผ่านกลุ่มต้นราชาวดีป่า  ดอกเป็นพวงสีขาว    ขึ้นอยู่กระจายอยู่   พอเดินผ่านก็ใช้มือรวบดึงมารวมกันทีละหลาย ๆ  ช่อดอก
แล้วดมแทนการหิวน้ำ  ดมแบบ แรง ๆ  ผ่านตรงไหนก็จะหยุดดมแบบนี้  
ก็จะช่วยให้สดชื่นได้บ้าง
มองไปทางทิศตะวันออก  มองเห็นสันเขาค่อย ๆ  สูงขึ้น  สูงขึ้น
แล้วทางโค้งลง   เหมือนจะมีทางลงข้างหน้าเรา  
มองไปทาง ขวามือ   เมื่อดวงอาทิตย์ที่ขึ้นเห็นชัดเจน
จึงรู้ว่า  ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นและลงที่ข้างหน้าเรานี่เอง
ตอนนั้นได้แต่แปลกใจอย่างเดียว  !!!!

   ใจคิดเราจะไม่เสียเวลา  และพลังงานที่เหลือน้อยเต็มที
ช้าไม่ได้อีกแล้วต้องเดินไปกินน้ำก่อนที่ จะเป็นลมใจมันหวิว ๆ  ตาลาย ๆ  ตลอดทางเดิน  ขณะตอนเดินนี้เดินได้ไม่เร็วแล้ว เดินไปเรื่อย ๆ
   
 
ทางช้างได้พาเดินตั้งแต่เช้าประมาณ 7  โมง กว่า ๆ  ทางค่อย ๆ  
ลาดสูงขึ้น ๆ  แต่ทางไม่ค่อยวกวน
จะเดินเลี่ยงเพียงก้อนหินน้อยใหญ่   ทางเดินไกลมาก  ผ่านทุ่งสวันน่าเดินเป็นช่องไปเรื่อย  แล้วค่อย ๆ  ผ่านป่าบ้างค่อย ๆ  ลาดลง  ลาดลง  
ทางเดินบางช่วง  ก็เหมือนเป็นลานพักต้นไม้คล้ายต้นมะขามเทศ
แหงนดูลูกก็ไม่มี   มีแต่รอยที่ช้างพักและนอนเยอะแยะไปหมด
สังเกตเห็นขี้ช้างหลายวันแล้ว   ก็หยุดหายใจพักตามช้าง  
สูดหายใจพักเหนื่อย    เดินไปก็หายใจทางปากตลอด  
ในใจคิดอย่าหายใจทางปาก   ปากจะแห้ง  ลงไปในลำคอ
 พอเราไม่ได้กินข้าวสักสามสี่วันแรงที่เดิน  พอเดินไม่เท่าไรก็จะเหนื่อยมาก  ปากแห้ง  เดินไปพักไป  เป็นระยะ ๆ  ไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบกล้องถ่ายรูปเลย  จนล่วงไปเป็นเวลาประมาณ 10โมงกว่า  
ที่เดินตามทางเดินช้างทางก็ค่อย ๆ  เริ่มลาดชันลง   แต่ไม่มาก  เริ่มลง
ทางเดินช้างชัดมาก  ช้างจะ เดินก้าวข้ามก้อนหิน  ที่เป็นเหลี่ยมก็มี  หินกลมก็มี เบี้ยว ๆ ก็มี   ทางเดินเป็นมันเลื่อม ข้ามต้นไม้ บ้าง  เดินลง  เดินลง  อีกพักหนึ่ง   ก็เจอแหล่งที่ช้างกินน้ำ  รอดตายการการหิวน้ำ  เพราะเราคำนวนถูก

  แหล่งน้ำกินของช้างมีลักษณะเหมือนกองหินขนาดใหญ่  จำนวนมากถล่มลงมากองรวมกัน    บางส่วนเหมือนจมลงในแผ่นดินหินบางก้อนก็ลาดเอียงบางส่วนจมลงไปในน้ำ  บางส่วนก็พ้นน้ำ   มีขี้ช้างกองอยู่ติดกับน้ำน้ำขี้ช้างยังซึมลงไปในน้ำที่เห็น   มองดูตรงขี้ช้างซึมใสที่สุด  
 พอเห็นน้ำเท่านั้น  มันเป็นทางรอดตาย   จากการหิวน้ำ  รีบถอดหมวก   รองเท้าวางกล้อง    รีบก้มลงกินอย่างเร็วแบบกวาง   ห่างจากขี้ช้างเพียงสองฟุตเอง    น้ำมีกลิ่นขี้ช้างด้วย   กินไปประมาณ ครึ่ง ลิตร    กินจนเรอออกมามีกลิ่นขี้ช้าง

   น้ำในช่องเขามีทางบ่อเชื่อมต่อกัน   สักสองสามบ่อ  
แดดส่องโดนอย่างเต็มที่   กินน้ำอิ่มก็หยุดนั่งพักเหนื่อย  สังเกตุเห็นว่าเวลาฝนตกมีรอยคราบน้ำสูงขึ้นอีกประมาณเกือบ เมตรทีเดียว  นึกขอบคุณพวกช้างมากที่พาเรามาถึงตรงนี้  ไม่งั้นหิวน้ำเป็นลมแน่
   เริ่มเจ็บ ๆ ที่ซ่นเท้าและปลายเท้า  ก็ถอดรองเท้าคู่เก่งดู  ตรงซ่นเท้าที่เดินปลิแตกเป็นสีแดงเลย  บีบนิ้วเท้าดูมันชา  ชา   ช่างหัวมัน  
 นั่งพักสักครู่ด้วยการเดินเท้าเปล่า  ไป ๆ  มา  ให้ คลายเครียดจนหายเหนื่อย  จะออกเดินทางต่อ  ก็ก้มลงกินน้ำขี้ช้างอีก  กินให้มากเลยเพราะน้ำกินครั้งสุดท้ายคือเมื่อวานก่อนเที่ยงคำนวนดู  มันเกือบจะ  24 ชั่วโมงโดยประมาณ  แสดงถึงพลังงานที่หายไปไม่ได้ชดเชย  
ข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีน้ำกินอีกเมื่อไรด้วย  
ความหิวน้ำตอนกลางวันนี่เป็นความทรมาน  คนไม่เคย   คงไม่รู้  
  ต่อจากความหนาวเข้ากระดูกตอนกลางคืน   ความหิวน้ำ  มันจะฆ่าเรา
ฉะนั้นกลางวันที่ผ่านมาบอกว่า   ต้องกินมากไว้เพื่อให้ได้แรงกลับมา
ก็กินแบบกวางไปประมาณ 1 ลิตรกินจนจุกเลย
เรอออกมาเป็นกลิ่นขี้ช้างฉุนติดจมูก    
ก็ออกเดินทางต่อ      ทางนั้นค่อย ๆลาดสูงขึ้น  
จนถึงระดับเดียวกับที่ตอนลง  
เห็นหมู่บ้านทางขวามือ   เริ่มเยื้องออกไปทางขวามือเกือบข้างหลัง
 แต่ยังพอเห็นอยู่      มองดูข้างหน้าจะมีทางลงหรือไม่    
ใจคิดว่าเราคงต้องเดินสุดภูนี้   แล้วต้องวกขวาเลาะเขาที่เราเดินนี่แน่  
เมื่อเดินสุดเขา   แล้วต้องหักเลี้ยวซ้ายเดินตรงก็จะถึงไร่และหมู่บ้านข้างล่างเชียวหรือ    
 นึกถึงการเดินเมื่อวาน   เขาที่เราเดินก็มองว่าไม่ไกล ยังเดินตั้ง หนึ่งวัน     ถ้าเดินแบบเมื่อวานไม่ทันแน่    ดูดวงอาทิตย์ก็จะราว ๆ จะเที่ยง
ดวงอาทิตย์แขวนอยู่ที่  11 นาฬิกาอีกแล้ว   มองทางไปข้างหน้าและขวามือ   คิดว่าหากเราเดินจนสุดเรา    ก็ต้องเดินย้อนกลับแล้วต้องเป็นป่าดงดิบอีกแน่  ๆ  เราคงจะไม่ไหวแน่  
ข้างหน้าเป็นเขาโค้งลงอยู่ลิบ ๆ  แต่ไม่ไกลมากนักเห็น ทางโค้งลงดูต่ำมาก
คิดว่าใช่แน่ต้องมีทางลง   ก็เดินอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า  ๆ  เห็นจะได้

 ได้เดินถึงทางลาดที่เห็นเมื่อสักครู่    
มองดูทางซ้ายมือของภูเป็นเป็นรอยน้ำไหล   เป็นคราบน้ำ  สีดำ
ไหลออกจากป่า    แล้วรอยน้ำไหลตกลงไปในหน้าผา
ก็เดินไปชะโงกดูที่หน้าผา   เห็นหินกองรวมกันเป็นช่องใหญ่มาก
เหมือนอุโมงค์  ลึก ลงไป เป็นมุม 45 องศาดิ่งลงไป
ก็เข้าใจทันที   ว่าเป็นทางน้ำ แน่นอน....
ทางน้ำเห็นอยู่ว่าต่ำลงไปประมาณ  100 เมตรเห็นจะได้  
 
หินก้อนใหญ่น้อยเป็นสีดำ เหมือนเคยโดนน้ำท่วมขัง  
ตรงที่ยืนอยู่เมื่อ    ชะโงกดู นั้นเป็นหน้าผาสูงตัด เป็นมุม  90  องศา
ก็หยุดดูทางเดินข้างหน้าอีกครั้ง     พยามมองสังเกตุว่า  
จะพอมีทางที่ลาดลงไปเชื่อมกับทางเดินข้างล่างได้หรือไม่ ?
มอง เห็นไปลิบ ๆ   เห็น ต้นไม้อีกฝั่ง ก็อยู่ไกลออกไปลิบ ๆ
 ภาพที่เห็นมันบอกเลยว่าข้างหน้าก็เป็นเหวทั้งหมดแน่แล้ว
ภูก็โค้งขึ้นด้วย     มองไม่เห็นจุดที่เป็นทางสุดด้วย
 ใจคิดคงไม่ไหวหรอก   หากจะเดินไปต่อ   หมู่บ้านก็จะมองไม่เห็นด้วย
เอาไงดี    ??  หันกลับมาที่หน้าผาแล้วนั่งพักก่อน  
ลมพัดตีปะทะหน้าผาขึ้นมา ก็มอง...
...........ทอดสายตาไปรอบ ๆ  นั่งพักแล้วคิดก่อน
มองดูดวงอาทิตย์  คงประมาณเที่ยงละมั๊ง  
ก้มมองมือตัวเองมีแผลจากเมื่อวานและเมื่อคืน
หนามบาดมีทั้งฝังเป็นแถว ๆ เรียงกันไขว้กันก็มี  เป็นแผลจุดเดียว ๆ  ก็มากมาย   แต่ดูเห็นเป็นแผลระดับผิวหนังเท่านั้น  
แขนข้างขวาแผลจะมากกว่า   เพราะกำไม้แล้วใช้แหวก
ใบไม้ กิ่งไม้  ที่มันจะมาปะทะะใบหน้าแล้ว     บางทีมันตีกลับมาจิกแขนเรา   ดูที่มือทั้งสองข้างขาวซีดออกเหลือง ๆ  ก็ถอดรองเท้าวางไว้ข้าง ๆ
มองดูขา    ตรงข้อขามีเลือดออกซิบ ๆ  ทั้งสองข้าง  ซ่นเท้าแตกเห็นเนื้อสีแดง  เจ็บน้อย ๆ  ที่ปลายเท้าทั้งสองข้าง
คิดถึงตอนเป็นวิทยากร   ได้บรรยายให้ทีมงานมิตรแท้  
ฟังเรื่องของหลักการที่จะเลือก  ทำงานที่เราชอบนั้น  
หากได้ยินได้ฟังงานอะไรก็ตาม    หากเราคิดตาม   ถ้าเราฟังแล้วชอบ  
เราก็จะมีความเชื่อตามมา    เราจะชี้นำตัวแทนใหม่เสมอว่า
หากถ้าคุณชอบ   แล้วถ้าเราเชื่อ   ถ้าเชื่อว่าเขาทำได้  แล้วเราต่างกับคนอื่นตรงไหน   ถ้าเขาทำได้แล้วเราจะทำได้หรือไม่ ?  พวกคุณลองคิดดู  
อุปสรรคที่สำคัญที่สุด    คือคุณคิดอย่างไร ?   คุณรู้หรือไม่  ?  
โดยสัญชาติญาณของคนเรา   ผมคิดว่าจะมีความรู้สึกเหมือน ๆกันเกือบทุกคน  

เรื่องที่หนึ่ง  ถ้าหากเรา  กล้า ๆ กลัว ๆ ,
หรือสองกลัว,
หรือสามกล้าเลย
ดังนั้น..
ถ้าคุณกล้า ๆ กลัวหรือกลัว  คุณก็จะไม่กล้า  อยู่ที่เดิมหรือทำงานที่เดิม  
อยู่กับที่ของคุณถ้าคุณพอใจก็ไม่ต้องเสี่ยง    
แต่หากคุณกล้าแล้วคุณก็จะไม่กลัว  นั่นเอง คิดต่อว่าอารมณ์ของความกลัว หรืออารมณ์ใด ๆ ของคนเรานั้น อาจจะเหมือนท้องทะเลกว้าง  ความกว้างของแต่ละคนนั้นก็ไม่เท่ากัน  
และเรากำลังจะข้ามความกลัวนี้    ที่มิตรแท้เราเคยเข้าอบรมวิทยากร  การเป็นผู้บรรยาย ต้องมีความรู้มากกว่าคนฟัง   ต้องคิดนอกกรอบ  ทำงานนอกกรอบ  
คิดเรื่องนี้ก็เข้าใจทันทีว่าเราเดินหลงป่า  มันเป็นทริปนอกกรอบจึงต้องใช้ความคิดให้มากกว่าเดิม   คิดแล้วก็คำนวนเรื่องเวลา  คำนวนเรื่องแรงหรือกำลังของตัวเองที่จะเดินทางกลับบ้าน   คิดถึงที่จะลง   เราจะลงที่ตรงนี้หรือเดินต่อไปแล้วหาทางลงใหม่   ก็ขยับตัวใช้ก้นถัด ๆ  ขยับไปที่ที่หน้าผา
ตอนนั่งครั้งแรกนั่งห่างเพราะเห็นมันลึกลงไปเท่านั้น    
เมื่อขยับเข้าไปจนสุดริมหน้าผา    แล้วก้มมองลงไปข้างล่าง  
ก็ไม่เห็นทางลงเลย  ใจมันสั่น ๆ  ขึ้นมากะระยะว่าสูงประมาณเท่าไรน่ะ ?   คงประมาณ 20 หรือ 30 เมตรก็ไม่แน่ใจ    
ก็ถอยกลับนิดนึงในใจจะลงตรงนี้ดีไหม ?    
เพื่อเป็นการลัดทางเดินไปที่หมู่บ้าน   จะไม่ต้องเดินไปอีกไกล  คิด และคิด  แต่เราถ้าตกผาต้องตาย   หรือขาหักแน่นอน  แล้วมันจะลงได้หรือไม่  ?
หรือจะรอคนมาช่วยที่ตรงนี้ดี    เพราะเรากลัวความสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว    แต่เราคงรอไม่ได้แล้ว   ตัดสินใจจะลงตรงนี้  เถอะ  ฟันธงเลย !!  
มองดูว่าพอจะมีอะไรยึดจับได้    เห็นรากไม้ขยุกขยิกโผล่พ้นดินขึ้นมาก็เอามือคุ้ย ๆ ให้มันพ้นดินแล้วใช้ปลายเล็บนิ้วก้อยข้างขวา
ค่อย ๆ  ขูดดูว่าสดหรือไม่   ยังสดอยู่
ก็ใช้มือขวาจับรากไม้ที่พ้นดิน    แล้วโหนชะโงกดูข้างล่างให้ชัด  
พอเห็นความสูง   เท่านั้น ....
อุณหภูมิ  จาก  22  องศา  ก็ไปอยู่ที่ 0 องศา  ทันที
ทั้งตัวทั้งมือก็สั่นพับ ๆ  ขึ้นมาทันทีทันใด   เพราะขี้คงวิ่งขึ้นไปบนหัวละมั้ง   ความที่กลัวจะตายของคน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  
เกาะรากกิ่งต้นไม้นั่งนิ่ง  คิด  ลังเล..... แล้วคิดว่าเราจะลงหรือจะรอคนมาช่วยดี     มันกลัวจนสั่นไปหมดทั้งตัว    แต่ถ้าเรารอแล้วคนเกิดตามหาไม่ทัน     แรงเราไม่เหลือ   แล้วถ้าสัตว์ใหญ่มาจะหนีอย่างไรเราคงไม่รอด     ถ้ารอเท่ากับฝากชีวิตไว้กับคนอื่นใช่ไหม  ?    
ใจคิดว่า    ถ้าเราจะตายมันคงตายไปนานแล้ว    เราเอาชีวิตของเราฝากไว้กับเราดีกว่า   ความกลัวตายของมนุษย์ที่รู้ว่าพลาดนิดเดียวต้องตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง   นั่งตัวสั่นอยู่ตรงนี้อีกเกือบสิบนาที  
มองลงทีไรตัวก็สั่นสะท้านไม่หาย     ก็คิดหากเรามองแล้ว
เราก็จะสั่นทุกทีเลย  
ทำไงดี   ทุกทีที่มอง   ตัวมันสั่น   คิดว่าเราต้องไม่มองข้างล่างเวลาลงต้องมองแค่ระดับตัวเราเท่านั้น   คิดแล้วก็นั่งทำใจอีกเกือบสิบนาที    
ใจคิดไม่ต้องรีบแล้วใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อนเรามาเที่ยวเอง
เดี๋ยวก็จะกลับบ้านแล้ว   กลับไปเจอกับ พี่ น้องเรา แล้วใจเย็น ๆ
คิดได้เช่นนี้ก็มองทางลงอีกที    พยามชะโงกดูว่ารากต้นไม้นั้นลงไปสุดถึงข้างล่าง  หรือไม่    เพราะถ้าไม่สุดเราอาจค้างกลางหน้าผา  
ดูแล้วดูอีก  ดูรากที่ย้อยลงถึงพื้นหรือไม่    ถึงนี่นา
แหงนดูต้นข้างบนยังสดดีอยู่     ก็ก้มชะโงกดูรากต้นไม้อีกทีว่ามันสดตลอดเส้นหรือไม่     มันเป็นมันเรียบแสดงว่ายังสดและลงสุดด้วย
มีช่วงเยื้องนิดเดียวเอง  
ตัดสินใจทันทีจะลงตรงนี้  หยิบรองเท้าโยนลงหน้าผาทันที  มองดูรองเท้าที่โยนลงไปเหลือนิดเดียวเอง    และถ้าอยากได้รองเท้าแกต้องลงไปเอา  ข้างล่างนู่น     ถ้าไม่มีรองเท้าแกก็เดินไม่ได้    ขาแกเละแน่   ต้องลงไปเอารองเท้าแล้วเดินทางต่อจะได้กลับบ้านแล้ว  นั่นคือสิ่งที่แกต้องทำให้ได้
ก็ก้มลงมองหาที่วางเท้า    เพื่อจะเหยียบประคองตัวให้ยืนเป็นระดับแนวตั้ง    มองเห็นว่าต่ำลงไปประมาณ  1 เมตรครึ่ง    
เหมือนมีที่พักเท้าได้    ก็ใช้กิ่งไม้ยาวประมาณเมตรครึ่ง   เขี่ยดู  
เป็นดินปนกับใบไม้ที่ทับถมกัน     ก็ใช้กิ่งไม้เขี่ยให้ดินหลุดออก  
ลมพัดตีปะทะหน้าผาตลอด   ได้พัดเอาทั้งฝุ่นจากดินใบไม้ที่แห้งปลิวย้อนขึ้นมาฟุ้งเต็มไปหมด    ก็หยุดให้ฝุ่นจางก็เขี่ยใหม่จนเกลี้ยง
มองไปก็เห็นเป็นที่วางเท้าได้    
มองไปที่ใช้มือจับเป็นรากไม้ที่โผล่ขึ้มา    
ก็ใช้มือเขี่ยดินที่คลุมออกให้กว้าง ๆ   เพื่อจะจับให้มั่น
แล้วโหนตัวลงไป ยืนที่แหง่งหินที่เขี่ยไว้  
ก็หายใจลึก ๆ  อีกพักหนึ่งรวบรวมสมาธิ  พุทโธ  อย่างที่เคยทำ
    ...... จนใจสงบลง.....
เริ่มตั้งโจทย์  คิดถึง   ขั้นตอนการลง  คิดว่าต้องลงให้เร็ว
เพราะกลัวหมดแรงก่อนที่จะถึง    ต้องใช้มือกับเท้าเกาะรากไม้ให้แน่น
แล้วปล่อยตัวให้รูดลง   มือและเท้าที่หนีบต้นไม้จะใช้เพียงแค่ประคองให้ไม่ตกเท่านั้น  ต้องไม่หลับตา  เพราะหากเกิดรากไม้ขาดต้องคว้ารากใหม่ให้ทัน  
คิดโจทย์การลงจากหน้าผาเสร็จ    ก็ลงมือปฏิบัติตามแผนการ    
ก่อนอื่นต้องเลื่อนสายกล้องให้แน่น   ป้องกันสายเกี่ยวกับรากไม้แล้วสะดุดกระชากเราเสียจังหวะได้     ปรับปีกหมวกให้ไปอยู่ด้านหลัง  
กลัวมันจิกกับรากไม้ข้างหน้า   ใบหน้าอาจจะหงายได้  
ก็ทำตามที่ป้องกันไว้    ด้วยการปรับหมวกจนแน่น
สายกล้องแน่นแล้ว
ก็ใช้มือขวาจับรากไม้นำร่อง  ค่อยหมุนทางขวาของตัวเอง
หันหน้าด้านหน้าเข้าทางหน้าผา      ด้านหลังหันออกทางหน้าผา  
จับรากไม้แน่นดี  แล้วก็ใช้ท้องยันขอบหน้าผา    เอาเท้าทั้งสองปล่อยลง  เพื่อให้เท้าลงไปเหยียบลงที่แง่งหินที่เขี่ยไว้คอย  
ค่อย ๆ ขยับไปทางขวามือเพื่อจับรากไม้   ขยับไปถึงรากไม้  
เห็นว่ารากทางซ้ายใหญ่มือกำได้เพียงครึ่งเดียวของรากไม้
รากตรงกลางใหญ่จนกำไม่ได้  ทางขวาก็เล็กแค่กำมิด  
ก็คิดคำนวนเราไม่มีแรงจะค่อย ๆ หยอดลงเหมือนในหนังไม่ได้แน่    
 ทางเดียวที่ทำได้ต้องปล่อยตัวรูดลงไปเลย    มือและขาหนีบให้แน่นที่สุดและคิดต่อถ้ารากทางขวาขาด  ต้องรีบคว้ารากใหม่   ดังนั้นเวลาต้องไม่หลับตา    ก็ขยับขาค่อยเลื่อนไปหนีบทั้งสองข้างมือทั้งสองข้างกำให้แน่น  เลื่อนถอยหลังนิดเดียว   น้ำหนักตัวเราโดนแรงดึงดูดของโลกไหลปรู๊ดอย่างเร็ว    ฝุ่นจากรากไม้ปลิวว่อนตกลงตามหัวตามหน้าเต็มไปหมด  
โชคดีลงมาประมาณ 10 เมตร    มีร่องหินพอพักเท้าได้  
ก็พักหายใจสักครู่    ตามองดูรากไม้    ซึ่งมันเยื้องออกทางขวามือออกจากเส้นเดิมสัก  1 ฟุต     ต้องขยับเปลี่ยนช่องลงใหม่   หายใจลึก ๆ  รวบรวมแรง แล้วทำเหมือนช่วงแรกปล่อยให้น้ำหนักตัวส่งเรารูดปรู๊ดลงมาข้างล่าง
อีกเกือบ 10 เมตร  ก็มีที่พักเท้าเล็ก ๆ มองลงไปข้างล่าง  เหลืออีก 2 เมตรกว่าก็ถึงพื้นแล้วไม่ต้องคิดแล้ว   พักแป็บเดียวก็โรยตัวช่วงสุดท้าย   แล้วปล่อยตัวลงถึงพื้น

แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 19:51:20

จากคุณ : นายโซ่
เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 19:49:54




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com