ความคิดเห็นที่ 1 รอชมครับ จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 14:41:37

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นขอกางแผนที่เดินทางตามระเบียบปฏิบัติของผมก่อนครับ เพื่อให้เพื่อนๆ สนใจติดตามไปได้เสมอทุกกระทู้ครับ  แม้ปีใหม่ครั้งนี้จะมีวันหยุดยาวถึง 4 วันแต่ผมและแฟนต้องมีอันติดงานกันคนละวัน เลยเหลือแค่ 2 วัน แถมงบไม่ค่อยมี เพราะหมดไปเมื่อครั้งทริปอีสานตอนสงกรานต์ที่แล้ว ที่เที่ยวถึง 5 วัน จากแผนที่ข้างล่าง ตามเส้นสีชมพู ออกจากบ้านพักซอยกำนันแม้นไปรับสมาชิกที่จอมทอง แล้ววกมาถนนราชพฤกษ์ ยาวไปสุดถนน เลี้ยวขวาไปข้ามสะพานปทุมธานี 2 เข้าถนนติวานนท์ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 347 เพื่อตรงไป บางปะหัน จนถึงถนนสายเอเชีย (32) ตามที่คุ้นเคย ปกติจะไม่ใช่เส้นทางนี้เพราะรถติดมาก แต่เนื่องจากผมออกเดินทางในคืนวันส่งท้ายพอดี รถเลยน้อยมากๆ (จนผิดสังเกตุ อาจเป็นเพราะกลัวคำทำนาย เด็กปลาบู่ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) จนผ่านนครสวรรค์ไปได้อย่างปลอดภัย แล้วหาทางลัดเข้า อ.ตะพานหิน ท่ามกลางความเปลี่ยวในช่วงตี 2 ทาง ต.ดงเสือเหลือง (ได้ยินชื่อก็ชวนขนลุกแล้ว...) ส่วนเส้นสีน้ำเงินนั้นเป็นเส้นทางภาระกิจในวันรุ่งขึ้นครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 14:51:39

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีคุณtiger's nest :  วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวหรือครับ  อิอิ ชอบฝีมือการถ่ายภาพของคุณสวยมากครับ สำหรับผมวันนี้ผมติดงานเลยมาตั้งกระทู้ได้ ไม่งั้นคงไปทำความสะอาดบ้านแล้ว (เมื่อวานไปทำมาแล้ว) คอยติดตามชมได้ต่อไปเลยครับ ภาพข้างล่างคือ บรรยากาศในคืนวันปีใหม่ (เพิ่งผ่านเคาท์ดาวน์มาเพียง 3 ชั่วโมงเอง เคาท์ดาวน์ในรถนะครับ คือช่วงสิงห์บุรี นั่นแหละ มีพลุให้ดูเหมือนกัน)   ภาพบน :ผมมาถึงสี่แยกตะพานหิน แล้วจึงได้เจอเข้ากับป้ายชื่อ "ตะพานหิน" ซึ่งหาดูไม่ได้ง่ายแล้ว ยกเว้นที่สถานีรถไฟตะพานหิน เลยเก็บภาพมาให้ดูกัน ภาพล่าง : ผ่านสี่แยกมา ก็จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ถ้าจะไปวัดเทวปราสาทให้เลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพาน ครั้งนี้ไม่มีเวลาแวะ เอาไว้คราวหน้าจะเข้าไปเก็บภาพพระองค์ใหญ่ มาให้ชมกันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:03:12

ความคิดเห็นที่ 4 ระหว่างขึ้นสะพาน เห็นแสงไฟประดับสวยดี คล้ายๆ กับ สะพานรถไฟเลยเก็บภาพแบบต่อเนื่องมาให้ชมกัน ต้องขออภัยที่มือไม่นิ่ง เพราะต้องถือพวงมาลัยไปพร้อมๆ กันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:04:54

ความคิดเห็นที่ 5 ในที่สุดก็มาถึงที่พักที่หมายใจไว้ได้สำเร็จ ตีสามกว่าๆ หน้าสถานีรถไฟตะพานหิน "โรสอินน์" โรงแรมที่มีชื่อเสียงมานานกว่า 30 ปีของอำเภอตะพานหิน (สมัยก่อน มีโรงแรมนิวหัวหินในตลาดเท่านั้น) ตอนนี้สภาพก็อย่างที่เห็น ส่วนราคาก็พอรับได้ ห้องเก่า 350 บาท ห้องใหม่ก็ 600 บาท ผมเลือกห้องเก่า เพราะต้องเปิด 2 ห้อง ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:16:34

ความคิดเห็นที่ 6 ผมมาพักที่นี่ ตั้งแต่มาครั้งแรกๆ เมื่อปี 2547 (เพราะก่อนหน้านี้ ผมยังไม่ได้ขายบ้านเกิด และมาอีกครั้งก็ไปพักบ้านเพื่อนแม่ที่ บ้านโป่งนกแก้ว) รวมแล้ว 4 ครั้ง ครั้งนี้ได้ห้องเก่าครั้งก่อนๆมา ไม่มีตู้เย็น แต่ก็ขอเก็บภาพไว้อ้างอิงสักหน่อยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:41:24

ความคิดเห็นที่ 7 ผมไม่ลืมเก็บภาพห้องน้ำไว้ด้วย แม้จะดูเก่าหน่อย แต่ก็ครบครันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:43:03

ความคิดเห็นที่ 8 ออกมาเก็บภาพหน้าห้องหน่อย แล้วก็เข้านอน เพราะจุดอื่นๆไม่น่าสนใจ ใกล้ตีสี่แล้วนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีภาระกิจอีกเยอะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:45:25

ความคิดเห็นที่ 9 เช้าแล้ว...(สายมากกว่า เพราะ 10 โมงแล้ว) ตื่นมาดูวิวหน้าต่างก่อน  ห้องที่ผมนอนนี้อยู่ด้านหน้าของโรงแรมครับ (คราวที่แล้วพักด้านหลัง) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:48:42

ความคิดเห็นที่ 10 ออกมายืนที่ระเบียง (มีตาข่ายกันนกด้วย) มองหาวิว ได้เห็นองค์พระขนาดใหญ่ หลังแนวตึก ที่เป็นตลาดตะพานหิน เลยซูมภาพมาให้ดูกัน ครั้งนี้ไม่มีเวลา เอาไว้คราวหน้าค่อยแวะครับ  ไปง่ายเพราะมีสะพานแขวนให้เดินข้ามจากตลาดได้เลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:50:56

ความคิดเห็นที่ 11 สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณมิราช     ตอนเด็กๆ เคยไปเที่ยวตะพานหินเหมือนกัน  ยังจำชื่อโรงแรมโรสอินน์ได้เลยค่ะ    นั่งรถไฟผ่านเป็นประจำ... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 16:03:35

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีจ้า คุณป้าฟู : ไม่ผิดหวังที่ได้พบกันอีก(อย่างรวดเร็ว) สวัสดีปีใหม่ เช่นกันครับ ไปรำลึกบ้านเกิดด้วยกัน คาดว่าคงจะแบ่งเป็น 3 ตอน คอยติดตามชมต่อไปนะครับ ที่นี่ไม่มีอาหารเช้าให้ แต่มีเมนูให้สั่งอาหาร เลยเอามาให้ดูกันอ้างอิงว่าจะออกไปหาอะไรข้างนอกทานหรือสั่งข้างในกินกัน สำหรับผมเพื่อความสะดวก สั่งกินที่นี่เลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 16:54:19

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณป้าฟูอีกครั้ง สำหรับกิฟท์แรกเป็นกำลังใจครับ มาต่อกัน ระหว่างนั้นก็ถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกครับ ถ่ายทุกคนยกเว้นผม (ลืมไป) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 17:00:06

ความคิดเห็นที่ 14 เสร็จแล้วก็เช็คเอาท์ออกมา ขอเก็บภาพด้านหน้าไว้  ตึกแถวด้านหน้า ผมยังจำได้เคยพาคุณพ่อมาฉีดยาก่อนท่านเสียไปแค่วันเดียว ที่ร้านหมอ ด้านขวา(ปัจจุบันไม่เห็นมี คงปิดไปแล้ว เพราะผ่านมา 25 ปีแล้ว)    การออกแบบตึกทั้งสองด้านมีลักษณะคล้ายกับโรงแรม คงเป็นโครงการเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ เงียบจัง ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก  อาจเป็นเพราะปัจจุบันคนไม่ค่อยเดินทางโดยรถไฟนัก เมืองที่เจริญกลับไปเป็นพิษณุโลก ที่มีแหล่งท่องเที่ยว และเป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยวครับ แต่ถ้าเราชอบความเงียบสงบ ไม่พลุกพล่านยามเทศกาล อำเภอตะพานหินก็เหมาะแก่กันพักผ่อน ก่อนออกไปลุยกันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 17:06:29

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 17:18:31

ความคิดเห็นที่ 16 สวัสดีครับ คุณเล็กทาโร่ : ด้วยความยินดียิ่งครับ เชิญติดตามชมต่อได้ครับ เนื่องจากผมตื่นสาย เลยไม่มีเวลาแวะชมตลาดตะพานหิน ขอนำภาพแผนที่ดาวเทียมของ Tele Atlas จาก Toolbar ของ LAEW  มาให้ชมกัน   โชคไม่ดีที่มีก้อนเมฆมาบดบังบริเวณตลาดและแถวๆ ที่พักพอดี แต่พอเห็นจุดอื่นๆบ้าง เช่น โรงเรียนตะพานหินที่ผมเคยเรียน อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ 2 กิโลเมตรพอดี ผมเคยเดินขากลับบ้านเกือบทุกวันจนชิน  โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ผมก็เคยไปผ่าตัดหูดออกก่อนเข้าทำงาน 3 จุด (ปัจจุบันยังมีรอยแผลเป็น และด้านไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม) ชืออำเภอตะพานหินนี้ มีที่มาจากมีหินดาลใต้น้ำยื่นมาจากฝั่งตลาดตะพานหิน (ทิศตะวันออก) ไปเกือบถึงฝั่งตรงข้าม เว้นช่องว่างให้เรือผ่านได้เท่านั้น  ยามหน้าแล้งจะมองเห็น แต่ปัจจุบันได้ถูกระเบิดทิ้งไปแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 เพื่อให้เรือผ่านได้สะดวกขึ้น  ตำแหน่งอยู่ตรงประปาอำเภอ ตรงข้ามกับ ศาลเจ้าพ่อหัวดาล มาคราวที่แล้วผมได้แวะไปดูด้วย ซึ่งก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรอย่างที่คาดไว้ครับ ส่วนด้านใต้นั้น มีท่าเรือตะพานหิน ซึ่งเลยลงไปนิดนึงก็คือวัดหาดแตงโม ที่พระราชทานเพลิงศพ นักร้องดัง "ยอดรัก สลักใจ"  ซึ่งครั้งที่แล้วก็ได้แวะไปดูเหมือนกัน  ถนนเส้นที่ลัดมายัง หน้าโรงเรียนตะพานหิน นั้นก็ตัดช่วงที่ผมเรียนอยู่ ยังไม่เคยไปวิ่งดูจนปัจจุบันครับ และที่ไม่ลืมก็คือ ร้านกาแฟชื่อดัง "เฉินหลง" ที่มาทุกครั้งต้องแวะซื้อ เพราะนึกถึงคุณแม่ผมที่ชอบให้แวะทุกครั้ง เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 17:34:46

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพบน : จะเรียกว่าภาระกิจแรก หรือเป้าหมายแรกที่ลืมไม่ได้ก็คือ แวะร้านกาแฟเฉินหลง เพื่อซื้อกาแฟ และชาเย็นไปดื่มระหว่างเดินทางครับ คนเยอะมาก ดูจากรถที่จอดหน้าร้านก็ได้ ต้องใจเย็นๆ รอกันหน่อย  (ภาพเล็กนั้นผมมถ่ายไว้เมื่อครั้งที่แล้วครับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) ภาพกลาง : ถัดจากนั้นก็ลุยยาว มาถึงบ้านเกิดผม ที่ ตำบลดงขุยครับ บ้านหลังนี้ผมเอาไปฝันบ่อยๆ (เมื่อคืนก็ฝัน) แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ภาพในความฝันก็ยังเป็นหลังเดิมก่อนมีการรื้อสร้างใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2530 ครับ โอย..คิดถึงต้นมะขามหน้าบ้านใจแทบขาด โดนโค่นทิ้งเพื่อขยายถนนไปเมื่อปี พ.ศ.2523 ช่วงที่เรียนชั้น ม.ศ.3 โน้น  ผมจึงตั้งใจไว้ว่า มีบ้านตัวเองเมื่อใดต้องปลูกต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านให้ได้ บ้านที่บางบัวทองจึงมีต้นหูกวางให้ร่มเงาจนปัจจุบัน(ไม่ได้ปลูกต้นมะขามเพราะคิดว่าโตช้า และใบเล็กกวาดยาก อีกทั้งร่มเงาน้อย แถมปีนตัดแต่งกิ่งยาก) ภาพล่าง : แวะเข้าไปทักทาย คนที่ซื้อบ้านผมปัจจุบัน และถ่ายภาพช่องลมหน้าบ้านไว้ให้หายคิดถึงครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 17:42:05

ความคิดเห็นที่ 18 จากภาพบน (คห.17) ภาพกลางนั้น จะเห็นตรอกเล็กๆเข้าไปหลังบ้านผมได้ ข้างในเคยมีโรงสีเก่า นั่นเป็นสถานที่วิ่งเล่นวัยเยาว์ของผมเลยนะครับ ตกเย็นก็เข้าไปขี่จักรยานเล่นบ้าง เล่นแบตมินตันบ้าง ดูการทำงานของโรงสีบ้าง เข้าไปคุยกับคนรู้จักข้างในนั้นบ้าง และที่สำคัญเคยเป็นทางลัดไปโรงภาพยนต์ "ดงขุยรามา" ได้ (โดนเผาไปตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2521 -2522 โน้น) ลองเดินเข้าไปดูหน่อย  พบว่าซุ้มประตูได้ย้ายออกมาข้างนอกแล้ว แต่เดิมเป็นโครงตาข่ายเหล็ก มีต้นเฟื่องฟ้าเลื้อยอยู่โดยรอบ ผมยังเคยปีนขึ้นไปจับตัวกิ้งก่า และโดนงับมาแล้วเลย..หึหึ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:00:52

ความคิดเห็นที่ 19 โผล่เข้าไปดูพื้นที่โรงสีข้างในกัน โอ...เปลี่ยนไปมากๆ  ตอนที่ผมย้ายออกมา (ปี พ.ศ.2540) ยังมีอาคารโรงสีเก่าอยู่เลย (แม้จะหยุดเดินเครื่องไปหลายปีแล้วก็ตาม)   ด้านซ้ายเคยมีบ่อน้ำ ที่เดินผ่านไปยังประตูข้างที่ทะลุออกโรงภาพยนต์ได้ ปัจจุบันก็กลายเป็นรั้วทึบ  อาคารยุ้งข้าวก็หายไป ที่น่าตกใจก็คือ คอกหมูของคุณแม่เจ้าของโรงสี ก็หายไปหมด ผมยังเคยเดินไปกับคุณแม่ผม สุดคอกหมูก็เป็นทางทะลุออกไปยังโรงภาพยนต์ หรือโรงเลื่อยได้ ใจนึกอยากจะเดินไปสำรวจใกล้กว่านี้ แต่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า จากบ้านเจ้าของโรงสี ตัวเบ้อเริ่ม แม้จะมีโซ่ล่าม แต่ไม่อยากรบกวนเขา เลยถอยกลับออกมาครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:06:06

ความคิดเห็นที่ 20 ตามอยู่ครับ จากคุณ : หนุ่ม ณ วันวาน เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:07:20

ความคิดเห็นที่ 21 เพื่อการบันทึกความทรงจำเก่าๆของผมในอดีต จึงขอนำใช้แผนที่ดาวเทียมมาช่วย ระบุตำแหน่งสถานที่ จุดต่างๆ ที่สำคัญครับ ในภาพข้างล่าง ผมจำได้ถึง แนวร่องน้ำที่พาดผ่านทางลัดไปโรงภาพยนต์เก่าได้เลย ปัจจุบันถูกถมเรียบไปหมดแล้ว มองทะลุเห็นบ้านจัดสรร ตรงตำแหน่งบ้านพักคนงานโรงเลื่อยเก่า(ที่เลิกไปนานแล้ว) ได้เลย  แม้แต่หลังอาคารโรงสีเดิมก็มี บ่อน้ำโรงสี  สวนมะม่วง บ้านคน (หลุมส้วมแบบโบราณ) ก็โล่งเตียนไปหมดเช่นกัน ขนาดห้องแถวบ้านผม แต่ก่อนก็ทอดยาวไปจนถึงโรงเรียนดงขุยวิทยาคาร ปัจจุบันก็ถูกหั่นออก เพื่อเป็นทางเข้าออกของเจ้าของโรงสี (ปัจจุบันยังเป็นเจ้าของที่ดินให้เช่าทั้งแถวเช่นเดิม แต่ราคาค่าเช่านั้นต่างจากสมัยก่อนชนิดเทียบไม่ได้ เท่าที่จำได้จากราคาปีละไม่กี่ร้อยบาท มาเป็นหลายพันบาท ซึ่งถ้าหากเขาขายที่ดินให้ ผมคงไม่ขายบ้านแน่นอน) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:15:37

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีครับ คุณหนุ่ม ณ วันวาน : ขอบคุณมากครับสำหรับกิฟท์ถูกใจครับ ผมบรรยายมากหน่อย เพื่อบันทึกความทรงจำหนหลังในอดีตครับ แทบไม่น่าเชื่อว่าบางเหตุการณ์ผ่านมานับ 40 ปีแล้ว ผมก็ยังจำได้เหมือนเมื่อวานก่อน เดือนก่อนเอง... ขอกางแผนที่เดินทาง สำหรับภาระกิจในวันนี้ให้ดูกัน ว่าจาก อ.ตะพานหิน วิ่งตรงไปบ้านเกิด ที่ดงขุย แล้วไปค้นหาบ้านเพื่อนเก่า ที่ ตะกุดไร แล้วตรงไป ทำบุญที่วัดสว่างอรุณ อ.ชนแดน แล้ววกกลับมาดงขุย แต่ไม่ถึงตลาด เลี้ยวเข้าเส้นทางชนบทไปทบทวนความจำบ้านเพื่อนคุณแม่ ที่ผมเคยมานอนพัก ก็นานกว่าสิบปีมาแล้ว ว่าจะหาเจอหรือไม่... แล้วก็หาทางมาออก ถนนใหญ่ ที่มุ่งมายัง จ.พิจิตรอีกทีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:22:05

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนออกเดินทางมา ผมได้ทำการบ้าน คือพยายามค้นหาข้อมูลเพื่อนของผมคนนี้ที่จากไปแล้ว "กิ่งไผ่ เอี่ยมสกุล" ซึ่งได้พบเพียงชื่อคุณพ่อของเพื่อน ที่ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซ้ำ  ซึ่งทราบเพียงว่า ต้องหาจากผู้ใหญ่บ้าน ตะกุดไร ก่อนอื่น  แต่เมื่อมาถึง บ้านตะกุดไรก็ได้พบกับบ้านสวยๆ ริมถนนหลังหนึ่ง เป็นร้านกาแฟชื่อ "Coffe Home" แฟนให้ถ่ายภาพเก็บไว้ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:28:39

ความคิดเห็นที่ 24 ระหว่างนั้นได้เห็น คนอยู่ในร้านด้วย เลยเข้าไปสอบถามทางหน่อย เพราะปกติแล้ว บ้านคนแถวนี้จะอยู่ลึกและปิดบ้านหาคนถามทางไม่ค่อยได้  ทีแรกกะจะถามทางไปผู้ใหญ่บ้าน แต่ลองถามชื่อเพื่อนโดยตรงดีกว่า พบว่าเขารู้จัก.. บอกทางเข้าไปได้ชัดเจนมาก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:47:55

ความคิดเห็นที่ 25 คุยไปคุยมา กลายเป็นว่า เจ้าของร้านเป็นพี่สาวเพื่อนอีกคน...... ช่างบังเอิญจริงๆ แต่เพื่อนผมคนนั้นไม่อยู่บ้าน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:50:18

ความคิดเห็นที่ 26 เลยได้โอกาสขอเก็บภาพในมุมต่างๆมาให้ชมกันสวยๆ ครับ เขาบอกว่าใช้เงินสร้างประมาณ 3 แสนบาท เพราะมีไม้เก่าอยู่แล้ว ค่าแรงก็ชาวบ้านแถวนั้น ผมคิดว่าถ้าเป็นที่กรุงเทพฯคงแพงกว่านี้เท่าตัวแน่นอน เก็บภาพราคากาแฟมาให้ดู เผื่อใครผ่านไปแวะไปทานได้ แต่สำหรับผมไม่ได้อุดหนุน เพราะยังมีกาแฟเฉินหลงอยู่ในรถ  แต่ก็ได้ซื้อขนมไข่ไป 2 ถุงครับ เจ้าของร้านเล่าว่า หลานสาวเขาจบจากกรุงเทพฯ ยังหางานไม่ได้ก็เลยให้มาขายกาแฟ ที่นี่แทน อยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องไปลำบากที่กรุงเทพฯ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:54:59

ความคิดเห็นที่ 27 เสร็จแล้วก็มองออกมาทางหน้าร้าน ชมวิวถนนดูว่าจะเป็นอย่างไร ใจคิดว่า น่าจะมี จุดสังเกตุที่ใหญ่กว่านี้ หรือไม่ก็ทำเป็นสวนหย่อมสวยๆ ไปเลย เพราะนักท่องเที่ยวชอบถ่ายภาพมาก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:00:39

ความคิดเห็นที่ 28 ก่อนกลับก็ได้หามุมถ่ายภาพสวยๆ ไว้เป็นที่ระลึก และก็ได้แนะนำเพิ่มเติมไปว่า ควรจะมีห้องน้ำไว้บริการด้วย เพราะถนนแถวนี้ไม่มีปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ ที่มีห้องน้ำเลย ห้องน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวมาก   ผมก็แนะนำไปเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:03:23

ความคิดเห็นที่ 29 จากนั้นก็รีบค้นหาเป้าหมายสำคัญในวันนี้ทันที...  บ้านเพื่อนที่จากไป "กิ่งไผ่ เอี่ยมสกุล" ครับ  นับว่าซับซ้อนเล็กน้อย กับความไม่เคยทาง ต้องสอบถามชาวบ้านแถวนั้นตลอดทางกว่าจะพบ... ตามเส้นประในแผนที่ข้างล่าง ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:05:36

ความคิดเห็นที่ 30 นี่เป็นภาพถ่ายในอดีต เมื่อวันรับใบประกาศจบชั้นป.7 ของผมเมื่อปี พ.ศ.2520 โน้นครับ แทบไม่น่าเชื่อว่าผมยังจำชื่อ-สกุลของเพื่อนบางคนได้ชัดเจน (อาจสะกดผิดได้ ต้องขออภัย) เริ่มตั้งแต่ แถวบน : เทิดศักดิ์...(แกล้งผมบ่อยๆ), จำไม่ได้, วีระ แซ่คู (ชื่อนามสกุลเดิม ยังติดต่ออยู่ ปัจจุบันเป็นนายไปรษณีย์), วัฒนา วันเวียง (น้องชายเจ้าของร้านกาแฟ Coffee Home), ประจวบ....(นิสัยดี ถูกแกล้งบ่อยๆ), ไพบูลย์ คำสิงห์ (ตัวแกล้งผม จนหัวแตกเย็บ 4 เข็ม), จรัญ แซ่หุ่น(จำไม่ลืม เคยยุให้ผมไปโดนตี เมื่อครั้งดูหนังเรื่องดิ๊กบี้ สุนัขจอมแก่น เพราะทางโรงเรียนห้ามเด็กเที่ยวเตร่เกิน 2 ทุ่ม), ตัวผมเอง (หน้าขาวกว่าใครๆ), รังสรรค์ สุประยูร (เพื่อนเก่า ที่มาดเข้ม) แถวกลาง : รัตนา อิ่มอินทร์, จริยา ตันมี (ชื่อเดิม แจ้ว เคยเจอตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ 20 กว่าปีมาแล้ว...), สุธาทิพย์....(คนสวยที่สุดในห้อง), จำไม่ได้, อนงค์ โพธิ์ศรี(ลูกกำนันเบี่ยง), คุณครู บรรจบ กงไกรลาส (ครูประจำชั้นป.7/2 หน้าตาหล่อ คม แต่ก็ดุมาก รักสะอาด เคยไปบ้านครูคนนี้มาครั้งหนึ่ง เพื่อติว ท่านกลับกลายเป็นคนใจดี ต่างกับตอนที่อยู่โรงเรียนมาก), นันทนา นาอุดม (ชื่อเล่น เอ เป็นลูกครูใหญ่ เรียนเก่ง เป็นคู่แข่งกับผมตั้งแต่สอบเข้าชั้น ป.4 ที่นี่แล้ว), ชลดา ลิ้มตระกูล(เพื่อนสนิทผม ที่เป็นผู้หญิง ขาว มือนิ่ม เคยทำมีดบาดมือเธอมาครั้ง จำไม่ลืม เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งที่อยากเจออีก ไม่รู้ไปหาได้ที่ไหน..), นฤมล แตงใหญ่ (บ้านอยู่ตะกุดไร แถวนี้ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน สวยแบบไทยๆ จนเอาชื่อไปล้อในเพลง...เฮาไปแอ่วสาว ไปด้วยกันหลายคน ไปเจอนฤมล แม่น้ามลอยู่ตะกุดไร...ฮา), กำไร อินทร์สุข(เพื่อนเก่าแต่ไม่ค่อยได้สัมพันกันนัก), พูนสุข... แถวหน้า : สมชาย คำรัตน์ (เรียนเก่งคู่แข่งผม ติดมช.พร้อมผม ในคณะเกษตร อยู่บริษัทนม เงินเดือนสูง...), ทวาย นพรัตน์, กรกฏ.....(บ้านอยู่ตรงข้ามผมเอง เรียนมาด้วยกันตลอด ชอบแกล้งผม หน้าตาน่ากลัว ปัจจุบันเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น เคยทำบ้านจัดสรรตรงโรงเลื่อยเก่าด้วย), ศักดิ์ชาย เหล็กคำ (เพื่อนสนิทผมยามเด็ก มาแตกคอกันตอนเรียนมัธยม เรื่องอะไรจำไม่ได้ คิดว่าโดนยุแหย่จากมือที่สาม แต่มาเจอภายหลังตอนผมเรียน มหาวิทยาลัย ก็คุยกันดี พาไปเที่ยวตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย), คนสุดท้ายนี้แหละ...คือ กิ่งไผ่ เอี่ยมสกุล เพื่อนสนิทอีกคนที่ผมสบายใจเวลาอยู่กับเขา เพราะเขาก็โดนแกล้งไม่แพ้ผม...ฮา เป็นนักร้องตัวฉกาจในห้อง ขึ้นเวทีงานประจำปีเป็นว่าเล่น เสียงร้องคล้ายกับคุณยอดรัก สลักใจ  เพลงที่ประทับใจคือ ใครลืมใคร ขี่เก๋งอย่าลืมเกวียน หัวอกพ่อสื่อ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:32:12

ความคิดเห็นที่ 31 ในที่สุด ความพยายามของผมก็เป็นผลสำเร็จครับ ผมหาบ้าน คุณกิ่งไผ่ เอี่ยมสกุลได้พบแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ของเขาอยู่ครบ หลังจากแนะนำตัวแล้วก็ขอขึ้นไปถ่ายภาพ คุณกิ่งไผ่ จากรูปภาพบนบ้าน พบว่าหน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเด็กเท่าใดนัก ถ้าผมจำไม่ผิด ช่วงคัดเลือกทหาร ผมเคยเห็นเขาครั้งหนึ่ง ยังมีบุคคลิกไม่แตกต่างสมัยเด็กๆ เลย  ตอนนั้นมันฉุกละหุก เลยไม่ได้คุยกันมาก เจอกันที่วัดพระพุทธบาทชนแดน ที่ใช้เป็นสถานที่คัดเลือกทหาร ในเดือนเมษายน พ.ศ.2530 ตอนที่ผมจบการศึกษาใหม่ๆ ก่อนเข้าทำงานครั้งแรก  ผ่านมาก็เกือบ 25 ปีแล้ว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:39:52

ความคิดเห็นที่ 32 . รีวิวละเอียดจังค่ะ ขอบคุณมากๆจ้า . จากคุณ : โอลีพ/แม่น้องเซ้นต์ (olives) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:44:23

ความคิดเห็นที่ 33 ปลื้มใจแทนเพื่อนคุณมิราชช จริง ๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 55 19:56:01 จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 19:55:48

ความคิดเห็นที่ 34 ภาพบน : เป็นรายละเอียดใต้รูป ที่ระบุวันเวลาที่จากไป คือเกือบ 5 ปีมาแล้ว การไปรำลึกบ้านเกิดครั้งแรกในปลายปี 2551 ผมก็ทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่มีเวลาค้นหาบ้าน และคิดว่าจะหาไม่พบด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่อายุสั้นมาก เพราะเป็นคนดื่มเหล้าจัด คุณพ่อท่านให้ข้อมูล ว่าเริ่มดื่มตั้งแต่ไปเรียนครูที่ จ.เพชรบูรณ์ เขาเป็นสังคมเก่ง ร้องเพลงเพราะ เป็นนักร้องประจำหมู่บ้าน และโรงเรียนเลย มีงานที่ไหนก็ได้ไปร้องที่นั่นประจำ แต่ก็ติดเพื่อน ดื่มเหล้าเก่ง จนเป็นโรคตับ เคยป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่สมัครสอบครูที่ จ.ชลบุรี เลยไม่ได้สอบ หมอห้ามดื่มอย่างเด็ดขาด แต่พอผ่านไปหลายปีก็กลับมาดื่มอีก เลยเสียชีวิตอย่างฉับพลัน หลังไปร้องเพลงที่โรงเรียน ที่ตนเองสอน (ดงขุย วิริยานุสรณ์ ที่เคยเป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเรียนตอนชั้นประถมต้น ในนาม โรงเรียนทวีวิทยา)กลับมาบ้านก็ทรุด เข้าโรงพยาบาลได้วันเดียวก็เสียชีวิต อย่างคาดไม่ถึง..... ภาพล่างซ้าย : เป็นรูปถ่ายสมัยเข้าเรียน ชั้นประถมปลาย ซึ่งผมจำได้ว่าเคยเห็นมาแล้วในอดีต ภาพล่างขวา : รูปคุณพ่อ ท่านยังดูไม่แก่ อารมณ์ดี หน้าตาคล้ายกับ เพื่อนผมมาก (ในขณะที่คุณแม่ไม่เหมือนนัก) ออกจะลูกครึ่งฝรั่งด้วยซ้ำ แต่ได้สอบถามแล้วว่า ไม่มีเชื้อสายฝรั่งแต่อย่างใด  เพราะผมเห็นว่าหน้าตาคล้ายกับคุณ Robin Williem ในภาพยนต์เรื่อง Bicentennial Man จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:02:41

ความคิดเห็นที่ 35 สวัสดีครับ คุณโอลีพ/แม่น้องเซ้นต์ (olives) : ขอบคุณเช่นกันครับ หวังว่าคงจะไม่เบื่อไปก่อนนะครับ.. อย่างน้อยผมก็ได้ระบายความทรงจำ เพื่อจะบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลัง หรือเพื่อนๆร่วมรุ่นเผื่อได้มาเห็นด้วยครับ คุณtiger's nest : ขอบคุณครับ สำหรับรายชื่อเพื่อน และอดีตประทับใจ นั้นผมเขียนจากความทรงจำจริงๆ ไม่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากไหนเลย (เพราะหาไม่ได้อยู่แล้ว) ที่จริงมีมากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่สมัยนั้น ไม่ได้จดบันทึกไว้เลย แค่เฟรนชิป ก็เริ่มมาเขียนกันในตอนจบชั้น ม.ศ.3 ซึ่งก็มีไม่กี่คน จนมาจบ ม.ศ.5 ถึงได้ใช้วิธีถ่ายสำเนาแจกให้เซ็นต์กันในสัปดาห์สุดท้ายก่อนจบการศึกษา ถึงได้เกือบครบ...    อย่างว่านะครับ ว่าตอนนั้นอารมณ์ความรู้สึกอาจเป็นอีกแบบคือ คิดแต่อนาคต กังวลเรื่องเรียนต่อว่าจะสอบได้ไหม ชื่อเพื่อนทุกคนในยามนั้นย่อมจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว และออกจะเบื่อ ไม่อยากเจอหน้าบางคนด้วยซ้ำ พอเวลาผ่านมาหลายสิบปี ความคิดถึงวันเก่าๆ จึงเริ่มหวนกลับมา โชคดีเด็กในปัจจุบัน ทางโรงเรียนได้ทำ หนังสือรุ่นกัน ตั้งแต่ ชั้นประถมเลย (โรงเรียนในกรุงเทพฯ) แถมมีสื่ออินเตอร์เน็ตให้ลงกันเป็น Facebook ซะอีก  เด็กสมัยผม แค่เครื่องคิดเลขก็หาใช้ยากเลย... ผมลองมาค้นหาหน้าตา คุณ Robin Williem ในภาพยนต์เรื่อง Bicentennial Man ให้ดูกันว่าคล้ายกับ คุณพ่อเพื่อนผมคนนี้หรือไม่ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:22:25

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนรูปภาพอื่นๆ นอกจากนี้ ก็เป็นรูปตอนไปรับปริญญาบัตรที่ สวนอัมพร เมื่อปี พ.ศ.2530 ซึ่งเป็นปีเดียวกับผม ที่ไปรับที่เชียงใหม่  ผ่านมา 25 ปี คุณพ่อท่านตอนนั้นก็ยังดูหนุ่มมาก  ทีแรกผมยังคิดว่า ทำไมผมไม่ทราบว่าเพื่อนมารับปริญญาอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานผมในปัจจุบัน แต่พอมาดูปี พ.ศ. จึงทราบว่าตอนนั้นผมยังทำงานที่ เชียงใหม่อยู่... เลยไม่ทราบ เพราะไม่ได้ติดต่อกันมานาน ตั้งแต่ เรียนจบชั้นป.7  ผมไปต่อโรงเรียนตะพานหิน เขาต่อโรงเรียนชนแดนวิทยาคม จบแล้วผมไป มช. เขาไป วค.เพชรบูรณ์ น่าเสียดายช่วงที่ แม่ผมเสียในปี พ.ศ.2547 ผมได้มาบ้านเกิดหลายครั้ง แต่นึกไม่ถึงว่าเพื่อนคนนี้ยังทำงานอยู่ที่นั่น (นึกว่าไปอยู่ต่างจังหวัด) เขายังมีชีวิตอยู่ มาอีก 3 ปี ด้วยซ้ำไป เวลามันสั้น ถ้าเราไม่รีบทำอะไรก็อาจไม่ได้ทำอีก ดังคำกล่าวเคยได้ยิน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:29:49

ความคิดเห็นที่ 37 เสร็จจากเป้าหมายแรก แล้วก็รีบบึ่งไป อำเภอชนแดนทันที เพราะสมาชิกที่มาด้วยกันอยากไปทำบุญแล้ว แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ต้องแวะหาอะไรกินกันก่อน ผมขับรถหาจนเลยตลาดชนแดนไปถึงทางแยกไปหนองไผ่โน้น จึงได้พบร้านก๋วยเตี๋ยว ใจอยากกินข้าว แต่หาไม่ได้ ก๋วยเตี๋ยวก็เอาละ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:33:20

ความคิดเห็นที่ 38 ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นธรรมดาก็พอประทังความหิวได้ ผมสั่งแห้งดันมีพริก ที่เสี่ยงต่อท้องเสียขึ้นมาอีก โชคไม่ดีเลย... จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:35:22

ความคิดเห็นที่ 39 ภาพซ้าย : นั่งทานไปก็ดู สภาพแวดล้อมในร้านเขาไป ชอบใจทีวี ที่มีการทำช่องให้กลมกลืนกับฝาผนังดี น่าจำเอาไปเป็นแบบอย่าง (ทีแรกยังคิดว่าเจาะผนังใส่ทีวีแบบสมัยก่อนที่ยังเป็นจอภาพหลอดแก้วหนาๆ แต่พอไปดูใกล้ๆ ก็แค่ทำตัวยึดข้างหลังทีวีเข้ากับผนังเท่านั้น) ภาพขวา : หันมาเห็นตู้โบราณ สำหรับใส่เครื่องยาแผนโบราณ  บ้านผมก็มีตู้คล้ายๆกันนี้ แต่ทำเพื่อโชว์ผ้าตัดเย็บเท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:39:28

ความคิดเห็นที่ 40 คุณ มิราชช คนดงขุยเหมือนกันเลยครับ ผมก้อเรียนที่ ตพ นะครับ จากคุณ : BANBONDOI เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:40:33

ความคิดเห็นที่ 41 ทานเสร็จแล้วก็วกกลับมายังตลาดชนแดน วนหาทางเข้าวัดสว่างอรุณไม่ได้ เพราะไม่มีป้ายบอกทางเข้าเลย แถมสอบถามคนพื้นที่ ต้องบอกว่า ไปวัดใน ถึงจะเข้าใจ แต่ก็ยังหาทางเข้าไม่ได้... ภาพข้างล่าง ผมจอดรถตรงหน้าร้านเซเว่น ปากทางเข้าท่ารถโดยสาร หันกลับมาดูทางทิศตะวันออก ที่เป็นเนินเขา (ข้างล่างคือ ที่ว่าการอำเภอ) สังเกตุเห็นข้างบนมีมณฑป เป็นมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ของวัดพระพุทธบาทชนแดน ที่ผมเคยแวะขึ้นไปมาแล้วในปี พ.ศ.2547 ซึ่งผมไม่ได้ทำเป็นกระทู้ และถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม (เลยมีภาพมาน้อย) จำได้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้สร้างมณฑป มีแค่บันไดขึ้นกับฐานรอยพระพุทธบาทเท่านั้น ลองค้นข้อมูลในเว็บดู พอจะทราบว่ามณฑปเพิ่งสร้างเสร็จในปีที่แล้วนี้เอง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 20:53:03

ความคิดเห็นที่ 42 สวัสดีครับ คุณBANBONDOI : ขอบคุณครับ และด้วยความยินดีที่ได้รู้จักคนบ้านเดียวกัน ผมศิษย์เก่าตพ. ม.ศ.รุ่นสุดท้ายครับ บ้านคุณที่ดงขุยอยู่ตรงไหนครับ ผมอาจรู้จักก็ได้ วันนี้ขอพักกระทู้ไว้ก่อน พรุ่งนี้จะมาพาไปทำบุญ วัดสว่างอรุณ ที่แฟนผมเคยมาทำบุญสร้างหอฉัน เมื่อปีที่แล้ว เลยให้นำทางมา เล่นเอางงกว่าจะมาถึงได้ ก่อนพักขอวางแผนที่ตำแหน่งวัดสว่างอรุณ(วัดใน) และวัดพระพุทธบาทชนแดน(วัดนอก ติดถนนใหญ่) ไว้ด้วยครับ  จากภาพจะแสดงทางเข้าวัด โดยต้องไปกลับรถหน้าท่ารถโดยสาร โดยทางเข้าจะอยู่ตรงข้ามกับร้านเซเว่น โดยไม่มีป้ายใดๆ ตรงทางเข้าเลยนะครับ ต้องสอบถามเท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 21:00:13

ความคิดเห็นที่ 43 ขอตามไปด้วยคนค่ะ เห็นคุณมิราชชจำชื่อและบุคลิกของเพื่อนเก่าๆได้หลายคนแล้วแอบอมยิ้มไปด้วย ความจำดีจริงๆค่ะ จากคุณ : ~LoVe_iN_The_CarD~ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 00:31:54

ความคิดเห็นที่ 44 สวัสดีครับ คุณ ~LoVe_iN_The_CarD~ : ด้วยความยินดีครับ มีคำกล่าวว่า ความทรงจำในวัยเด็ก ถ้าจำได้ จะติดตราตรึงไปชั่วชีวิตไม่มีวันลืม อาจเป็นเพราะสมองตอนนั้นยังสดใสใหม่อยู่ครับ ขอบคุณ คุณโบริโบริ ครับ วันนี้มาต่อกัน จากแผนที่ในคห.42 ผมก็หาทางเข้ามายังวัดสว่างอรุณได้สำเร็จ แต่ก็มาเลี้ยวผิด ขึ้นสะพานข้ามคลองบุษบงช่วงแรกๆ เพราะแฟนจำได้ว่ามีสะพาน แต่คนละสะพาน เลยวิ่งอ้อมหรือเลียบคลองบุษบงฝั่งตะวันออก แล้ววนมาเข้าวัดทางประตูข้าง แทน.... ขากลับก็เลยออกตามลูกศรสีชมพู ครับ  เพราะใน GPS Pocket Map ไม่มีระบุวัดนี้เลย ทางเข้าตามลูกศรจะต้องผ่านสะพานข้ามคลองบุษบง ด้านใต้(ไม่ใช่ด้านเหนือ) ดังแสดงในรูปครับ เป็นสะพานแคบๆ รถสวนกันแทบไม่ได้ ต่างจากสะพานด้านเหนือที่ผมหลงเข้ามา สะพานกว้างมากๆ เรียกว่า 2 เท่าของสะพานนี้เลย แต่อ้อมครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:02:24

ความคิดเห็นที่ 45 ลงสะพานมา ก็จะเห็นป้ายชื่อวัดอันโต ตรงหัวมุมรั้ววัดเลยครับ ทางเข้าด้านหน้าจะอยู่ด้านขวามือครับ มีซุ้มประตูสวยๆ ให้ดูด้วย แต่สำหรับผมนั้นเข้าทางด้านข้างวัด ที่เป็นประตูข้างวัด ไม่มีซุ้มประตูใดๆ คิดว่าเป็นทางเข้าใหม่ สำหรับการเดินทางโดยรถยนต์ใหญ่ๆ เช่นรถบัส ในขณะที่ประตูด้านหน้า นั้นน่าจะมาจากอยู่ใกล้ชุมชนแต่ดั้งเดิม ที่มักสร้างติดคลอง และเผลอๆ ในอดีตอาจมีท่าเรือตรงหน้าวัดก็ได้ (ผมคิดเอาเองนะครับ) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:05:31

ความคิดเห็นที่ 46 เข้ามาดูซุ้มประตูหน้าวัดใกล้ๆ ช่างงดงามไม่น้อย เสียดายที่มีสายไฟพาดผ่านบดบังความงามไปบ้าง  เดินผ่านประตูเข้ามาดูข้างหลัง ก็มีความงามไม่แพ้กัน ครับ นี่ถ้าหากมีการทาสีใหม่ ก็คงจะสวยสดกว่านี้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:10:48

ความคิดเห็นที่ 47 ทางเข้าด้านข้างวัดจะมีความกว้างสะดวกกว่า และผมเองตอนแรกก็เข้าทางนี้ (ยังคิดว่าเป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งป้าย หรือซุ้มประตูเลย  จนเข้ามาแล้วจึงเห็นว่ามีซุ้มประตูอยู่อีกด้าน) เมื่อเข้ามาทางนี้ จะเห็นวิหารพระประจำวันอยู่ด้านซ้ายมือ ขวามือเป็นพระอุโบสถขนาดเล็ก ที่มีทางเข้าเพียงด้านหน้า และสังเกตุเห็นใบเสมามีเพียงใบเดียวตรงด้านหน้าเท่านั้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:24:05

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพขวา : ตรงประตูทางเข้าพระอุโบสถ มีหินสามเหลี่ยมถูกขีดลวดลายทาสีเป็นรูปพระพุทธรูป เลยเก็บภาพมาให้ดูกัน ภาพซ้าย : เข้าไปในพระอุโบสถ (พอดีมีพระกำลังจะปิดอยู่พอดี ท่านเลยรอผมให้เข้าไปไหว้พระข้างในก่อน) มีองค์พระประธาน 2 องค์ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:44:17

ความคิดเห็นที่ 49 จากหน้าองค์พระประธาน ผมหันกลับมามองผนังด้านหน้าพระอุโบสถ มีการวาดลวดลายสีสดใส  มองมายังด้านข้างพบว่ายังมีช่องว่างบางส่วนวาดไม่เสร็จ ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:46:40

ความคิดเห็นที่ 50 ภาพบน : ออกมาจากพระอุโบสถ มองเข้าไปในวัด (ย้อนแสงแดด) เห็นเมรุ และศาลาการเปรียญ กำลังมีงานศพพอดี (ประตูด้านหน้าวัด จะอยู่ ด้านหลัง เมรุ ครับ) ภาพล่าง : เดินเข้าไปในวัดอีกเล็กน้อย ด้านขวามือเป็นศาลเจ้าแม่ (ไม่แน่ใจว่า เป็นต้นตะเคียนหรือเปล่าครับ ไม่เห็นป้ายใดๆระบุชื่อ) แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 12:50:29 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:48:41

ความคิดเห็นที่ 51 ถัดมาอีกฝั่งถนน เป็นศาลาพระประจำวัน และพระพุทธรูปปางอื่นๆอีก ลองเข้าไปดูกันหน่อยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:52:19

ความคิดเห็นที่ 52 ตรงช่องทางเข้ามีป้ายชื่อ "ศาลาปิติยินดี" เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆเมื่อปีที่แล้ว เข้าไปข้างใน มีพระพุทธรูปมากมายหลายปาง  สำหรับพระประจำวันผมพอชี้ให้ดูได้ตามในรูปด้านขวาครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:55:30

ความคิดเห็นที่ 53 ถัดไปเห็นมีระฆังแขวนเรียงรายกัน มีชื่อว่า "ศาลากังวาลบารมี" ให้ญาติโยมได้เคาะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันครับ ถัดเข้าไปอีกเป็นศาลาชื่อ "มณฑปบารมี" ข้างในมีพระพุทธรูป และรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อทบ ให้ได้กราบไหว้กันครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 12:58:03

ความคิดเห็นที่ 54 เข้าไปบันทึกภาพข้างในศาลา "มณฑปบารี" ชัดๆ มี พระพุทธทบประทานพร และ รูปหล่อหลวงพ่อทบ และคำบูชาสวดมนต์ โดยรอบครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 13:01:05

ความคิดเห็นที่ 55 ขอตามไปด้วยคนค่ะ จากคุณ : luckyfarm6662 เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 14:58:14

ความคิดเห็นที่ 56 สวัสดีครับ คุณluckyfarm6662 : ด้วยความยินดีครับ ไปทำบุญด้วยกันในวัดชนบท ครับ สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ วัดสว่างอรุณ หรือวัดในของ อำเภอชนแดนนี้ หลวงพ่อทบ ท่านเคยมาเป็นเจ้าอาวาส ในช่วงปี พ.ศ.2479 - 2499 ก่อนจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาส ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน (วัดนอก) ในช่วงปี พ.ศ.2500 - 2519 จนท่านมรณภาพ  ซึ่งประวัติของ หลวงพ่อทบ พอกล่าวสังเขปได้ดังนี้ครับ นามเดิมท่านคือ นายทบ ม่วงดี เกิดที่ บ้านยางหัวลม ต.นายม (ปัจจุบันคือ ต.วังชมภู) อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เมื่อ วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2424 จากลักษณะการคลอดที่แตกต่างจากคนทั่วไป คือส่วนหัวและเท้าออกมาพร้อมๆ กัน จึงเป็นที่มาของชื่อ "ทบ" การศึกษาของท่านเริ่มจาก คุณพ่อนำไปฝากไว้ที่วัดช้างเผือก เมื่ออายุ 10 ขวบ กับหลวงตากี จนถึงปี พ.ศ.2440 (อายุ 16 ปี) ท่านได้บวชเป็น สามเณร ที่วัดช้างเผือก กับพระอาจารย์สี เจ้าอาวาสวัดช้างเผือก จนผ่านมา 5 ปี อายุท่านได้ 21 ปี ก็ได้บวชที่วัดศิลาโมง แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดช้างเผือก ศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐาน จากพระอาจารย์สี ได้ 2 พรรษาก็ขอไปศึกษาต่อที่วัดศิลาโมง กับพระอาจารย์ปาน เจ้าอาวาสวัดศิลาโมง   หลังจากศึกษาวิชาได้ครบถ้วนแล้ว ก็ขอลาอาจารย์ไปหาความรู้จากที่อื่นต่อไป ก่อนไป ท่านอาจารย์สี ได้กล่าวฝากวัดช้างเผือก กับท่าน "หากถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ให้กลับมาพัฒนาวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนะ" เริ่มจาก วัดวังโป่ง อ.ชนแดน จำพรรษาได้ 2 พรรษา  หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ในป่าตามลำพัง ออกไปยังประเทศพม่า ลาว เขมร แล้วกลับประเทศไทย ด้วยเท้าเปล่า ในระยะทางหลายพันกิโลเมตร  จนท่านรู้สึกพอใจในวิชาอาคมต่างๆ เพื่อสงเคราะห์ให้กับญาติโยมผู้ยากไร้  วัดแรกที่ท่านกลับมาจำพรรษา คือ วัดศิลาโมง ท่านได้พัฒนา บูรณะมากมาย หลังจากนั้นท่านก็ได้ธุดงค์ไปร่ำเรียนวิชาต่อจาก หลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เสร็จแล้วก็กลับมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงเช่นเดิม ซึ่งในระหว่างนั้น ช่วงปี พ.ศ.2461 - 2468 ท่านได้ไปศึกษาวิชาต่อกับ หลวงพ่อเง่า อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ(วัดบ้านติ้ว) และอดีตเจ้าคณะจังหวัดที่หล่มสัก ได้ร่ำเรียนพระเวทวิทยาคม คาถามหานิยม คงกระพัน มหาอุด ล่องหน เป็นที่สำเร็จ จากนั้นท่านก็ได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเสาธงทองในปี พ.ศ.2466 ท่านได้พัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองมาก จนต่อมา ในปีพ.ศ.2472 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้วได้ว่างลง ท่านจึงได้มาเป็นเจ้าอาวาสแทน จนถึงปีพ.ศ.2479 ซึ่งในระหว่างนั้น ท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทองในปี พ.ศ.2476 ด้วย 2 ปี จนถึงปีพ.ศ.2479 ท่านก็ได้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอรุณแห่งนี้ ถึงปี พ.ศ.2499 ซึ่งในระหว่างนี้ช่วงปี พ.ศ.2480 - 2497 ท่านได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดศิลาโมงด้วยอีกแห่ง และในปีพ.ศ.2490 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์(อายุ 66 ปี 45 พรรษา) และต่อมาในปีพ.ศ.2497 ท่านได้รับการสถาปนาจากกรมศาสนาเป็น พระครูวิชิตพัชราจารย์ (รับสนองพระบรมราชโองการโดย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม)  เจ้าคณะอำเภอชนแดน จวบจนปี พ.ศ.2500 ท่านจึงได้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทชนแดน วัดนี้เป็นวัดใหม่ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.2490 โดยการบริจาคที่ของ นายปั้น ก้อนพล เป็นที่ดินติดเขาชื่อว่า "เขาน้อย"  หลวงพ่อทบ ท่านได้สร้าง อาคาร เสนาเสนาะต่างๆ พระอุโบสถ รอยพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาน้อย  จนได้ประกาศเป็นวัดตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2516 แต่ก่อนหน้านั้น ในปี พ.ศ.2507 ท่านมีอายุได้ 83 ปี นัยน์ตาฝ้าฟางจนบอด ท่านจึงขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะชนแดน เหลือเพียงเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทชนแดนเท่านั้น(จน มรณภาพในปี พ.ศ.2519) ท่านคิดถึงวัดช้างเผือกที่เคยรับคำจาก พระอาจารย์สี ว่าก่อนวาระสุดท้ายให้กลับไปพัฒนาวัดช้างเผือก เพราะช่วงนั้นวัดได้รกร้างมานานประมาณ 30 - 40 ปีแล้ว  พอดีมีคนมานิมนต์ให้ไปบูรณะวัดศิลาโมงใกล้ๆ กับวัดช้างเผือก ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดศิลาโมงก่อน หลังจากบูรณะวัดศิลาโมงพอสมควรจึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือก และเริ่มบูรณะจากวัดที่ร้างเหลือซากศาลาการเปรียญเก่า กุฏิเก่าที่ชำรุดพัง และพระอุโบสถที่เหลือแต่ฐาน จนถึงวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2519 ทางวัดช้างเผือกได้จัดงานประจำปี วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ผู้คนมามากมาย ได้บังเกิดพายุฝนตกหนักนานกว่า 5 ชั่วโมง ท่านได้พูดถึงศพท่านว่า อย่าเผาให้เก็บไว้เพื่อการพัฒนาวัดช้างเผือกนี้ต่อไป กับ นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ ลูกศิษย์คนสนิทของท่านก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นท่านก็ มรณะภาพระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ห่างจากวัดเพียง 15 กิโลเมตร  ศพของหลวงพ่อทบ ได้เก็บไว้ที่วัดช้างเผือกมาจนปัจจุบัน เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่วัดเกิด(แบบไทย) ของท่านได้ตรงกับวันมรณภาพของท่าน คือ วันขึ้น 14 ค่ำเดือน 4. จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 16:21:56

ความคิดเห็นที่ 57 ผมเองก็เพิ่งทราบว่า หลวงพ่อทบท่านมรณภาพที่วัดช้างเผือก ศพของท่านก็เก็บไว้ที่นั่นจนปัจจุบัน  ทีแรกยังคิดว่าท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทชนแดนแต่ที่เดียว มาทีวัดสว่างอรุณพระท่านก็บอกว่า หลวงพ่อทบท่านมาจำพรรษาที่นี่ก่อนวัดพระพุทธบาทชนแดน ผมเลยค้นหาข้อมูลมาให้ดูจึงทราบครับ อ้อ..ที่มาของข้อมูลข้างบน มาจากเว็บหลวงพ่อทบ โดยตรง รวบรวมโดยอาจารย์ วีรวัฒน์  วงศ์วาน ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ http://www.luangporthob.com/index.php?option=com_content&task=view&id=28&Itemid=52 แผนที่ข้างล่างนี้ แสดงตำแหน่งวัดช้างเผือก และวัดศิลาโมง นั้นอยู่ที่ ต.วังชมภู อยู่คนละฟากของเขา กับ อ.ชนแดน ต้องขึ้นเขารังไป(แสดงด้วยเส้นสีแดง) ลงมาเจอสามแยก เลี้ยวขวาไปทาง กรุงเทพฯ แค่ 3 กิโลเมตร แล้วเข้าซอยไป 900 เมตรถึงวัดช้างเผือก ส่วนวัดศิลาโมงนั้นจะถึงก่อน ประมาณ 1 กิโลเมตร เข้าซอยไปประมาณ 700 เมตรก็ถึง ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวนั้น ก็น่าจะแวะเข้าไปไหว้ท่านสักครั้งครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:18:47

ความคิดเห็นที่ 58 ไหนๆ ก็แล้ว ลองค้นหาภาพดาวเทียม ของวัดช้างเผือก และวัดศิลาโมง ซะเลย ว่ามีลักษณะเช่นใด ครับ  คือจะมีทางเข้าแยกกัน แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็มีถนนเชื่อมกันผ่านหมู่บ้านชุมชนครับ   ดังนั้น แม้วัดสุดท้ายที่หลวงพ่อทบเป็นเจ้าอาวาสคือวัดพระพุทธบาทชนแดน แต่วัดที่ท่านจำพรรษาจริงๆสุดท้ายก็คือ วัดช้างเผือก อันเป็นวัดแรกที่ท่านเข้าบวชเณรในร่มผ้ากาสาวพัสตร์  คล้ายกับวันเกิดและวันมรณภาพท่านเป็นวันเดียวกัน(ทางไทย) ราวกับยืนยันถึงชื่อท่านว่า "ทบ" ที่ศรีษะและเท้าของท่านโผล่ออกมาจากครรภ์มารดา เมื่อแรกคลอดเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:25:19

ความคิดเห็นที่ 59 เอาละ หลังจากที่ผมขยายความวัดแห่งนี้ถึงความสำคัญที่แตกต่างไปจากวัดอื่นๆ แล้ว ก็ขอนำกลับเข้ามาทำบุญด้วยกัน ซึ่งในวันที่ไปชาวบ้านกำลังมีพิธีสวดศพก่อนขึ้นญาปนกิจที่เมรุในวัด เลยเกิดความกังวลว่าจะไม่มีพระว่างมารับสังฆทานที่เตรียมไป  จอดรถแล้วหันไปดูทางประตูหน้าวัดครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:30:14

ความคิดเห็นที่ 60 เลยพากันเดินไปยังกุฎิท่านเจ้าอาวาส ซึ่งข้างทางกำลังมีการก่อสร้างหอฉันอยู่ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:34:59

ความคิดเห็นที่ 61 ท่านเจ้าอาวาสได้ให้พวกเราไปรอที่ ศาลาหลังใหม่ "ศาลาธรรมอำนวยการหลวงพ่อทบ" กันก่อน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:36:31

ความคิดเห็นที่ 62 เข้ามารอข้างใน โอ้โฮ..เพดานและเสาใช้ไม้แผ่นเล็กๆ บุ ดูเป็นลวดลายสวยดีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:38:41

ความคิดเห็นที่ 63 พระมารับสังฆทานแล้ว หลังจากเสร็จพิธีก็นั่งสนทนากับท่านเล็กน้อยก่อนกลับ  ตอนแรกเห็นท่านสวมหูฟัง นึกว่าฟังวิทยุ แต่ในอันที่จริงแล้วท่านมีปัญหาหูหนวก ฟังเสียงไม่ค่อยได้ยิน จึงต้องติดเครื่องช่วยฟังไว้ตลอดเวลา ขนาดนั้นก็ยังฟังพวกเราไม่ค่อยได้ยิน ท่านเป็นกันเองดีมากครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:42:45

ความคิดเห็นที่ 64 ก่อนกลับก็ขอเข้าห้องน้ำกัน ซึ่งอยู่หลังกุฏิพระในรูปคห.60 ซึ่งระหว่างนั้นก็สังเกตุ ตัวอะไรเกาะอยู่ข้างต้นไม้หน้าห้องน้ำ จ้องผมตาแป๋วเลย... ดูคล้ายงู...พญานาค.. อ๋อ..พอเข้าไปใกล้จึงทราบว่าเป็นประติมากรรมที่ใช้บูชาในงานบุญ รูปพญานาค 3 เศียร ดูไกลๆ ตอนกลางคืนก็มีเสียวเหมือนกัน  เหมือนงูตัวใหญ่นะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 18:45:37

ความคิดเห็นที่ 65 ขากลับ วกกลับมายังบ้านเกิดที่ดงขุย แต่ก็นึกถึงวัดต่างๆแถวนั้น ที่เคยไปสมัยผมยังเป็นเด็ก เริ่มจากวัดกูฏิพระ ที่เคยมีพระอาจารย์พัน เป็นเจ้าอาวาส ท่านเก่งในการพิธีสะเดาะเคราะห์ ดูดวงชะตา ได้แม่นยำ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วไม่กี่ปี ผมนึกถึงเจ้าต้นไม้ใหญ่หน้าวัด "ต้นมะม่วงป่า ตามที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้" เลยวนรถเข้ามาดูเล็กน้อย และได้ทำบุญถวายเงินให้กับพระรูปหนึ่งที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หันไปดูกุฏิพระ(เป็นศาลาการเปรียญไปในตัว) ที่ผมกับคุณแม่เคยขึ้นไปพบพระอาจารย์พัน ปัจจุบันได้มีการรื้อออกบางส่วนและสร้างเป็นตึกแล้ว เสร็จแล้วก็ออกมา ระหว่างผ่าน ตำบลท่าข้าม ผมก็นึกถึงวัดโพธิ์เตี้ยที่อยู่ข้างใน เคยมาหาท่านพระอาจารย์ปุ่น กับคุณแม่และพี่สาว เคยเดินเท้าออกมาด้วย...แต่ก็ไม่ได้ถ่ายภาพ เพราะไม่มีเวลา จำแทบไม่ได้ว่าหน้าวัดเป็นคลอง ต้องเดินอ้อมคลองมาออกถนนใหญ่ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:01:14

ความคิดเห็นที่ 66 หลังจากนั้น ผมก็ตรงมาเกือบถึง ตลาดดงขุย แล้วก็เลี้ยวขวาไปทางบ้านโป่งนกแก้ว เพื่อนคุณแม่ที่เคยมาพัก เผื่อจะจำได้ ซึ่งก็ไม่พลาด เพราะจดจำหลังคาแท้งค์น้ำหลังบ้านได้ว่า คล้ายกับหอคอยโบราณในยุโรป แต่ก็ประหลาดใจกับซุ้มประตูที่สร้างใหม่ ตอนที่ผมมายังมีแค่ประตูไม้เล็กๆ กับลวดหนามเอง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:03:48

ความคิดเห็นที่ 67 แม้จะไม่เจอเพื่อนคุณแม่ แต่ก็เจอญาติๆ เขาที่บังเอิญมาดูแลบ้านช่วงปีใหม่ (ปกติเขาก็อยู่กรุงเทพฯ) เขาจำผมได้เลยเข้าไปทักทายกันหน่อย ก่อนกลับออกมาก็ขอเก็บภาพซุ้มประตูสวยๆนี้ไว้เผื่อทำเลียนแบบ สร้างได้สวยมากแม้จะหลายปีขาดการดูแล สีลอก มีคราบน้ำดำๆ เกาะก็ตาม จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:06:06

ความคิดเห็นที่ 68 ในเส้นทางลัดที่ออกจะลับตา นี้ ผมเคยเข้าไปดูเหมืองทองคำ และวัดป่า ซึ่งผมจำทางไม่ได้แล้ว สิบกว่าปีที่เคยมา ลองสอบถามคนเฝ้าบ้านดู บอกว่าต้องแยกเข้าไปลึก ไม่ได้อยู่ริมถนนทางผ่านไปออกถนนใหญ่ สายพิษณุโลก - อินทร์บุรี(ทางหลวงหมายเลข 11)  อีกทั้งฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ผมเลยรีบตรงออกมาดีกว่า ซึ่งก็พลบค่ำพอดี ในภาพข้างล่างเป็นเส้นทางข้างในก่อนถึงถนนหมายเลข 11 เล็กน้อยเวลาประมาณ 6 โมงเย็นครึ่ง ดูสวยดียามพระอาทิตย์ตกดิน เลยนำมาเป็นภาพปิดกระทู้ตอนแรกนี้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 55 19:12:59

ความคิดเห็นที่ 69 บรรยากาศ น่าไปเที่ยวมากเลยครับ ดูสบาย ๆ ดี รอติดตามชมตอนต่อไปครับ ... จากคุณ : สุดท้ายตรงไหน เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 55 16:06:42

ความคิดเห็นที่ 70 สวัสดีครับ คุณสุดท้ายตรงไหน : ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจมาตลอดครับ (แหม..ชื่อล๊อคอิน ตอนแรกเห็นนึกว่า แซวผมซะอีก ทำนองว่า กระทู้นี้เมื่อไหร่จะจบ แล้วจะจบอย่างไร สุดท้ายอยู่ตรงไหน...ฮา) วันนี้ผมมาต่อในตอน 2 นะครับ  ตอนตามหาบ้านผู้มีพระคุณที่เมืองพิจิตร เชิญติดตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ได้ครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11638149/E11638149.html จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 14:45:44