ความคิดเห็นที่ 1 วันนี้เรามาต่อที่จุดที่ 6 กันนะครับ Singapore Art Musuem ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:18:09

ความคิดเห็นที่ 2 อยู่ติดกับโบสถ์ St. Paul and Peter เลยครับ แค่เดินอ้อมมาข้างหน้าหน่อเดียวเอง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:19:43

ความคิดเห็นที่ 3 อาคารหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1855 โดยในครั้งแรกได้ถูกใช้เป็น โรงเรียนคาทอลิกสำหรับเด็กผู้ชาย ชื่อ St. Joseph’s Institution  ภายใต้การควบคุมโดยหลวงพ่อ Jean – Marie Beurel บาทหลวงคาทอลิคชาวฝรั่งเศส โดย หลวงพ่อ Jean – Marie Beurel ได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนศาสนาในดินแดนตะวันออกไกล โรงเรียนคาทอลิกสำหรับเด็กผู้ชายแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น St. Joseph’s Institution ตั้งแต่ตอนที่มีการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1855 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมฉลอง ชื่อ St. Joseph จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:20:47

ความคิดเห็นที่ 4 St. Joseph’s Institution ได้กลายมาเป็นโรงเรียนชายที่มีชื่อเสียงมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในช่วงไม่กี่สิบปีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งโรงเรียน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:21:21

ความคิดเห็นที่ 5 ในปี 1906 ได้มีการสร้างปีกอาคารขึ้นอีกปีกหนึ่งโดยการควบคุมของหลวงพ่อ Nain ซึ่งเป็นสถาปนิกมาก่อน เพื่อรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยสร้างขึ้นเป็นอาคารทรงโค้งครึ่งวงกลมในแบบบารอค โดยสร้างให้เข้ากับอาคารดั้งเดิม หอระฆังถูกแทนที่ด้วยโดมขนาดใหญ่ เพื่อให้รับกันกับอาคารที่ทำขึ้นมาใหม่ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:21:54

ความคิดเห็นที่ 6 ระหว่างการเข้ายึดครองของญี่ปุ่น อาคารแห่งนี้ถูกใช้เป็น Bras Basah Boy’s school และในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียน   St. Joseph’s Institution ก็ได้เปิดทำการสอนอีกครั้งหนึ่ง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:22:28

ความคิดเห็นที่ 7 40 ปีต่อมา  St. Joseph’s Institution ก็ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่แห่งใหม่บริเวณ Malcom Road เนื่องจากคับแคบเกินไป จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:22:56

ความคิดเห็นที่ 8 National Heritage Board ก็ได้เข้าครอบครองอาคารนี้และได้ทำการปฎิสังขรณ์ด้วยงบประมาณมูลค่าสูงถึง 30 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:23:42

ความคิดเห็นที่ 9 ปฎิสังขรณ์เสร็จก็ได้ประกาศให้เป็น National Monument of Singapore และได้ใช้เป็น Singapore Art Museum จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:24:31

ความคิดเห็นที่ 10 ซึ่งการปฎิสังขรณ์นี้รวมไปถึงการปรับปรุงติดแอร์ทั้งอาคารเพื่อป้องกันมิให้งานศิปะที่อยู่ภายในอาคารได้รีบความเสียหายจากการที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:24:59

ความคิดเห็นที่ 11 และตั้งแต่ปี 1996 อาคารแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัยของสิงคโปร์ โดยมีงานศิลปะจากศิลปินชาวสิงคโปร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ นานประเทศ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:32:47

ความคิดเห็นที่ 12 เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:33:33

ความคิดเห็นที่ 13 แบบว่าแพ้ศิลปะครับ ขนาดไปดู David ตัวจริงที่ฟลอเรนซ์ เข้าไปไม่ถึง 5 นาทีก็ออกมานั่งอยู่ข้างนอกซะแร๊ว เสียดายตังพันห้าชะมัด ฮ่าๆๆๆๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:35:02

ความคิดเห็นที่ 14 จุดที่ 7 คือ Cathedral of Good Shepherd เดินไปนิดเดียวเองครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:36:19

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นโบสถ์คาทอลิคหลังแรกที่สร้างขึ้นบนถนน Bras Basah Road ตรงบริเวณโบสถ์หลังเก่าของ St. Joseph’s Institution ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1833 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:37:35

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อแรกสร้างเป็นไม้ หลังคามุงจาก จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:38:07

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ต่อมาเมื่อมีศิษยานุศิษย์มากขึ้นโบสถ์หลังเก่าก็เล็กเกินไปจึงมีการวางแผนจะสร้างโบสถ์หลังใหม่ที่อื่น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:39:15

ความคิดเห็นที่ 18 โดยได้เลือกที่ดินบริเวณ Queen Street ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน และได้ทำการเช่าจากรัฐบาลเป็นเวลา 999 ปี และมีการตั้งกองทุนทำการเรี่ยไรในปี 1840 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:39:58

ความคิดเห็นที่ 19 ได้มีการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 18 มิถุนายน 1843 โดย John Connolly และได้รับการประทานพรจาก Bishop J.P. Courvezy ออกแบบโดย Denis Leslie McSwiney เมื่อสร้างเสร็จ ใช้เงินไปทั้งสิ้น 18,355 เหรียญสิงคโปร์ ได้รับการสถาปนาโดยหลวงพ่อ Beurel ในวันที่ 6 มิถุนายน 1846 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:40:30

ความคิดเห็นที่ 20 ต่อมาได้มีการบูรณะปฎิสังขรณ์หลายครั้ง ในปี 1847 ได้มีการสร้างโดมยอดแหลม ซึ่งออกแบบโดย Charles Alexander Dyce ในปี 1860  ทางเดินภายในโบสถ์ได้ถูกต่อเติมในปี 1888 ได้มีการปูพื้นหินอ่อนภายในโบสถ์ ในปี 1912 ได้มีการติดตั้งออร์แกน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:41:03

ความคิดเห็นที่ 21 ให้สังเกตุตรงบันไดนี้นะครับ เค้ายกพื้นขึ้นมาเพื่อให้พอดีกับรถม้าเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:42:25

ความคิดเห็นที่ 22 โบสถ์แห่งนี้ได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิหารในปี 1888 พร้อมกับการฟื้นขึ้นมาใหม่ของเขตการปกครองมะละกา แต่การประกาศให้เป็นสังมณฆล กระทำขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1897 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:43:24

ความคิดเห็นที่ 23 มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกประกาศให้เป็น National Monument of Singapore จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:44:02

ความคิดเห็นที่ 24 เราไม่ได้เข้าไปชมข้าวในอีกแล้วครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:44:37

ความคิดเห็นที่ 25 เค้าทำกังทำพิธีกันอยู่ข้างในครับ แอบเซ็งนิดนึง อุส่าห์เลือกวันกลางๆอ่ทิตย์แล้วเชียว เสียดายครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:45:45

ความคิดเห็นที่ 26 ออกมาเดินชมข้างนอกกันต่อครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:46:40

ความคิดเห็นที่ 27 สวยมากครับ  ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:48:07

ความคิดเห็นที่ 28 มีที่พักสำหรับพระ เป็นอาคารสองชั้น สร้างขึ้นในปี 1911 ตัวอาคารประตับตกแต่งด้วยปูนปั้นสวยงามมากครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:48:18

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ : เล็กทาโร่  --- เดิมตามมาชิวๆเลยคราบบ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:49:07

ความคิดเห็นที่ 30 ภายในอาณาเขตของมหาวิหารมีบังกะโลในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าเป็นอาคารที่เก่าที่สุดที่สร้างอยู่ในบริเวณนี้ โดยเป็น ที่พักของ Archbishop อยู่ตรงมุมของมหาวิหารด้านติดกันถนน  Queen Street เป็นอาคารสองชั้น สร้างขึ้นในปี 1859 มีลูกกรงทำด้วยกระเบื้องสีเขียว ทำเป็นรูปคล้ายๆขวด จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:49:34

ความคิดเห็นที่ 31 เดินตรงไปอีกอึดใจเดียวก็จะถึงจุดที่ 8 ครับ ซากประตูโรงเรียน Raffles Girl School แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 16:51:30 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:51:11

ความคิดเห็นที่ 32 โรงเรียน Raffles Girl School ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 1844 เริ่มแรกมีนักเรียน 6 คน ครู 5 คน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:52:44

ความคิดเห็นที่ 33 นับได้ว่าเป็นโรงเรียนที่สอนทั้งทางวิชาการและจริยธรรมคู่กันมากับ Singapore Institution โรงเรียนนี้มีสอนทั้งระดับประถม และ มัธยม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:53:19

ความคิดเห็นที่ 34 ในปี 1928 Raffles Girl School หรือ RGS ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่แห่งใหม่บนถนน Queen Street ซึ่งต่อมาในสมัยที่ญี่ปุ่นบุกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นก็ได้ใช้อาคารโรงเรียนเป็นฐานที่ตั้ง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:53:52

ความคิดเห็นที่ 35 ต่อมาเมื่อมีนักเรียนมากขึ้นโรงเรียน Raffles Girl School ฝ่ายมัธยมก็ได้ย้ายไปอยู่ที่  Anderson Street ในปี 1959 และฝ่ายประถมได้ย้ายไปอยู่ที่ Holland Grove ในปี 1979 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:54:35

ความคิดเห็นที่ 36 ปัจจุบัน โรงเรียน Raffles Girl School ถือว่าเป็นโรงเรียนชั้นแนวหน้าของสิงคโปร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:55:04

ความคิดเห็นที่ 37 รั้วส่วนที่เห็นนี้เป็นรั้วของโรงเรียนที่อยู่ด้านถนน Queen Street นะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:55:30

ความคิดเห็นที่ 38 และที่อยู่ตรงกันข้ามก็คือจุดที่ 9 ครับ อาคาร MPH จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:56:44

ความคิดเห็นที่ 39 ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนน Stamford Road และ Armenian Road ปัจจุบันใช้เป็นโชว์รูมร้านเฟอร์นิเจอร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:57:27

ความคิดเห็นที่ 40 ตามดูสถานที่สวยๆ รูปสวยๆค่ะ จากคุณ : Tree Rose เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:57:38

ความคิดเห็นที่ 41 ตัวอาคารเป็นแบบ Edwardian (แบบอังกฤษ ในสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด) ในยุคปี 1900 – 1910 ด้านหน้าของอาคารประกอบไปด้วยศิลปะแบบ Italian Cinquencento (คือมีหน้าจั่ว หน้าต่างเป็นซุ้มยอดแหลม) และซุ้มโค้งแบบบารอค จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:57:57

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ : Tree Rose  ---- ตามมาเรยครับ รับรองว่าเดินไม่เหนื่อยคราบบบ --------------------- อาคารแห่งนี้สร้างไม่เหมือนใครในสิงคโปร์เลยครับ นับว่าเป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์มากๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:59:34

ความคิดเห็นที่ 43 แต่เดิมอาคารหลังนี้เป็นร้านหนังสือ มาถึง 9 ปี นับตั้งแต่ปี 1908 และร้านหนังสือแห่งนี้ก็ได้สนับสนุน และ ส่งเสรีมการเจริญเติบโตของ Methodist Church และ Boy Scout Movement อย่างมาก อีกทั้งยังได้จัดพิมพ์หนังสือหลายเล่มเช่น Hikayat Abdullah (หนังสืออัตตชีวประวัติของ Munshi Abdullah) Sejarah Melayu, The Legal Status of the Malay State, A Practical Malay Grammar, Geography of British Malaya และหนังสือเล่มอื่น ๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:00:11

ความคิดเห็นที่ 44 เดินต่ออีกนิดแล้วไปต่อกันที่จุดที่ 10 CHIJMES กันครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:01:50

ความคิดเห็นที่ 45 ตั้งอยู่บนถนน Victoria Street จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:03:05

ความคิดเห็นที่ 46 ในปัจจุบันได้กลายเป็นสถานบันเทิงโดยมีร้านอาหารหลายร้านอยู่ด้านใน แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 17:03:45 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:03:34

ความคิดเห็นที่ 47 รูปผิดคราบบ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:04:13

ความคิดเห็นที่ 48 สมัยก่อนนี้เป็นโบสถ์ และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:04:34

ความคิดเห็นที่ 49 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 คุณพ่อ Jean Marie Beurel ได้มองเห็นถึงความต้องการบ้านพักเด็กกำพร้าสำหรับเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และความต้องการโรงเรียน Catholic สำหรับเด็กหญิง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:05:26

ความคิดเห็นที่ 50 คุณพ่อ Jean Marie Beurel  จึงได้สร้าง Caldwell House ขึ้นในปีทศวรรษที่ 1840 โดย G.D Coleman เป็นผู้ออกแบบ เพื่อเป็นที่พักของเหล่าแม่ชีชาวฝรั่งเศส ที่อยู่ภายใต้ Holy Infant Jesus จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:06:22

ความคิดเห็นที่ 51 เด็กๆที่ถูกทอดทิ้งจะถูกนำมาวางไว้ที่ “Small Gate” เพื่อให้แม่ชีคาทอลิคเลี้ยงดู จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:06:49

ความคิดเห็นที่ 52 ดู ป้ายที่อยู่เหนือ  “Small Gate” เขียนเอาไว้ว่า “ the Gate of Good Hope” ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งถนน Bras Basah Road ตัดกับ Victoria Street ปัจจุบันถือว่า Caldwell House เป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าที่สุดในสิงคโปร์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:08:58

ความคิดเห็นที่ 53 ต่อมาให้มีการซื้อที่ดินข้างเคียงเพิ่มขึ้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:10:23

ความคิดเห็นที่ 54 และในปี 1854 ก็ตั้งชื่อบ้านสำหรับเด็กกำพร้านี้ว่า Convent of the Holy Infant Jesus หรือ CHIJ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:11:08

ความคิดเห็นที่ 55 ได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษที่  20 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:12:29

ความคิดเห็นที่ 56 สาธุคุณ Charles Benedict Nain เป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบในสไตล์ Neo – Gothic แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 17:14:09 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:13:06

ความคิดเห็นที่ 57 ซึ่งเชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากโบสถ์ในประเทศฝรั่งเศส ภายในประดับด้วยกระจกสี และเสาสวยงาม แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 17:14:26 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:13:50

ความคิดเห็นที่ 58 รูปผิดครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:14:59

ความคิดเห็นที่ 59 แล้วก็รูปนี้ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:16:01

ความคิดเห็นที่ 60 CHIJ ได้ปิดตัวเองลงในปี 1983 หลังจากที่เปิดเป็นโรงเรียนเด็กหญิงมาทั้งหมด 129 ปี จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:44:48

ความคิดเห็นที่ 61 อาคารทั้งหมดได้ประกาศให้เป็นอาคารสงวนโดย Preservation of Monuments Board ในปี 1990 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:51:39

ความคิดเห็นที่ 62 การบูรณปฏิสังขรณ์ได้รวมไปถึง Caldwell House และ โบสถ์ด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:52:08

ความคิดเห็นที่ 63 แนวทางในการบูรณปฏิสังขรณ์จะรักษาสภาพเดิมทั้งโครงสร้าง และ การประดับตกแต่ง ของอาคารไว้ให้ได้มากที่สุด จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:52:34

ความคิดเห็นที่ 64 ในการบูรณปฏิสังขรณ์กระจกสีภายในโบสถ์ การจกสีชิ้นเล็กๆได้ถูกนำไปซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฝรั่งเศส จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:53:05

ความคิดเห็นที่ 65 ได้มีการนำช่างชาวอิตาลีเข้ามาเพื่อการทำความสะอาดและการซ่อมแซมภายในและภายนอกอาคาร รวมไปถึงเสาอาคารภายใน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:53:32

ความคิดเห็นที่ 66 การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่นี้ใช้เวลากว่า 10 ปี จึงได้เสร็จสิ้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:54:01

ความคิดเห็นที่ 67 CHIJ ได้เปิดให้บริการอีกทีในชื่อว่า CHIJMES ในช่วงปลายศตวรรษที่ 1990 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:54:34

ความคิดเห็นที่ 68 โดยได้รับรางวัล UNESCO Asia Pacific Heritage Awards for Culture Heritage Conservation Merit Award ในปี 2002 โดย UNESCO จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:55:01

ความคิดเห็นที่ 69 พอออกมาจากโบสถ์ด้านนอกทางหลังโบสถ์เป็นร้านอาหารหลายๆ ร้านเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:56:11

ความคิดเห็นที่ 70 มีทั้งจีน ฝรั่ง เม็กซิโก และอีกหลายชาติเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:57:07

ความคิดเห็นที่ 71 ด้านหลังโบสถ์ยังทำเป็นชั้นใต้ดิน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:57:48

ความคิดเห็นที่ 72 แล้วก็มีร้านอาหารมีหลายร้านเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 17:58:30

ความคิดเห็นที่ 73 ท่าทางกลางคืนจบรรยากาศดีนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:00:16

ความคิดเห็นที่ 74 เดี๋ยวคราวหลังต้องลองมาตอนกลางคืนดูบ้าง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:00:57

ความคิดเห็นที่ 75 มาดูภาพโบสถ์กันอีกซักภาพ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:08:06

ความคิดเห็นที่ 76 แนวตั้งบ้างนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:08:40

ความคิดเห็นที่ 77 เดินออกมาข้างหน้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:09:16

ความคิดเห็นที่ 78 ผ่านระเบียง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:09:48

ความคิดเห็นที่ 79 หัวเสาสวยๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:12:10

ความคิดเห็นที่ 80 ถ่ายรูปโบสถ์อีกซัก 2-3 รูป จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:14:21

ความคิดเห็นที่ 81 ส่งท้าย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:14:55

ความคิดเห็นที่ 82 ก่อนที่จะไปต่อที่จุดที่ 11 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:15:25

ความคิดเห็นที่ 83 จุดที่ 11 ต้องเดินย้อนมานิดนึงครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:16:04

ความคิดเห็นที่ 84 St. Andrew Cathedral จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:18:08

ความคิดเห็นที่ 85 ตั้งชื่อตามนักบวชที่ดูแลคุ้มครองประเทศสก็อตแลนด์ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 18:18:44