ความคิดเห็นที่ 1 บ่ายแก่ๆวันนึงในเดือนกุมภาที่ผ่านมา เพื่อนที่บริษัทนามว่าตี๋พอล (ผู้ไปร่วมด้วยช่วยกินกับ จขกท.ในทู้นิวยอร์คตอนที่แล้ว) ก็ IM มาหาอิฉัน "นี่ชอ จันทร์หน้าเป็นวันหยุด President Day เรากับแคธี่(เมียตี๋พอล)ว่าจะขึ้นไปเที่ยวนิวยอร์คล่ะ สนใจไปด้วยป่าว" "เอร๊ยยยย ไปๆๆๆ ตอนนี้กำลังเซ็งได้ที่พอดี หนูจะได้ไปกินดับทุกข์ " "โอเช งั้นชอก็ขับมาเจอพวกเราที่ดีซีวันศุกร์นะ" และนั่นก็เป็นที่มาของทริปฝ่าลมหนาวในมหานครนิวยอร์ค ของคณะทัวร์สหประชาชาติอันประกอบไปด้วย จขกท.ชูชกสาวไทย, ตี๋พอล หนุ่มเมดอินสิงคโปร์, เจ๊แคธี่ สาวอเมริกันเชื้อสายฮ่องกง และพอล2 หนุ่มอังกฤษที่พึ่งย้ายทวีปมาทำงานที่บริษัทเจ๊แคธี่หมาดๆ อันนี้เป็นสภาพหลังรถของเราค่ะ แม่เจ้า นี่มันกะไป 3 วันหรือ 3 เดือนวะเนี่ย! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:16:31

ความคิดเห็นที่ 2 ... แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 54 09:17:45 จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:17:22

ความคิดเห็นที่ 3 เราสี่คนมาถึงนิวยอร์คตอน 4 ทุ่มกว่าๆ แต่เพราะตี๋พอลจองโรงแรมในย่าน Queens ด้วยความที่ราคาถูก แถวๆโรงแรมเลยไม่มีอะไรเลย บ่มิไก๊ที่สุด T^T พวกเราเลยได้เข้านอนอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ได้เห็น skyline สวยๆยามเช้าของนิวยอร์คจากห้องของเราเป็นการชดเชย ฮิ้ววววว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:18:03

ความคิดเห็นที่ 4 ดูเหมือนคนเดียวที่ไม่ตื่นเต้นคือเจ๊แคธี่นะฮะ เพราะเจ๊ยังนอนคลุมโปงต่ออย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:18:48

ความคิดเห็นที่ 5 เราเริ่มต้นทัวร์กินแหลกกันที่ Peter Luger Steakhouse ร้านสเต็กชื่อดังในย่าน Brooklyn สเต็กเจ้านี้ท่าจะดังจริงฮ่ะ เพราะขนาดร้านไม่แคร์สื่อมาก (ไม่รับจองออนไลน์ - ต้องโทรไปสถานเดียว, ในเว็บของร้านไม่มีเมนูให้ดู และที่สำคัญ ไม่รับเครดิตการ์ดด้วยครับผม -*-) แต่คนก็ยังอย่างตรึม ขนาดเจ๊แคธี่โทรจองล่วงหน้าอาทิตย์กว่าๆ มื้อเย็นยังเต็มแล้ว พวกเราเลยต้องกระเด็นมากินรอบเที่ยงแทน เราไปตอนร้านเพิ่งเปิดค่ะ ร้านเลยยังโล่งอยู่ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:19:11

ความคิดเห็นที่ 6 นอกจากนี้ เมนูของร้านยังเท่มาก เพราะร้านสเต็กปกติเค้าจะมีหลายๆ cut ให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น Prime Rib, Filet Mignon, New York Strip, Ribeye, T-Bone Steak, etc แต่เมนูสเต็กของร้าน Peter Luger มีดังนี้เจ้าค่ะ Steak for One Steak for Two Steak for Three Steak for Four Rib Steak เจี๊ยกกกกก หลอกกันเล่นรึป่าววววววว >__< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:19:27

ความคิดเห็นที่ 7 ชาวคณะเลยลงมติ สั่ง Steak for Two มาดูลาดเลาก่อน พร้อมของกินเล่นอื่นๆอีกเล็กน้อย อย่างเบคอนชิ้นละ $3 ซึ่งชิ้นใหญ่และหั่นมาหนาโคตรๆ แถมยังกรอบนุ่มชุ่มมันอีกตะหาก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:19:45

ความคิดเห็นที่ 8 หม่ำๆเบคอนอยู่ พนักงานเสิร์ฟก็เอาจานรองถ้วยมาคว่ำไว้กลางโต๊ะ พวกเราก็สงสัยค่ะ ว่าจานนี้เค้ามีไว้ทำอะไรหนอ จนกระทั่งพนักงานแบกสเต็กจานเขื่องมา เราจึงได้ถึงบางอ้อ ว่าเค้าตั้งใจวางจานสเต็กให้เอียงเล็กน้อย น้ำมันร้อนๆท่วมๆจะได้ไหลไปกองอยู่ตรงขอบจานนั่นเอง แหม่ อันนี้ก็ไม่รู้จะช่วยได้เท่าไหร่นะคะ ดูสเต็กซะก่อน สาบานว่านี่ให้สองคนกินอ่ะเพ่! >_< จานนี้ทูอินวันนะฮะ ฝากซ้ายเป็น Filet Mignon (สันใน) ส่วนซีกขวาเป็น Sirloin (สันนอก) ปล.สเต็กร้านนี้มาแต่เนื้อล้วนๆ ไม่มีเฟรนช์ฟราย มันบด ผักนึ่งแถมมาใดๆทั้งสิ้น ต้องสั่งเพิ่มเองนะขอรับ -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:20:06

ความคิดเห็นที่ 9 สเต็กร้านนี้ก็นุ่มอร่อยมากค่ะ แต่สารภาพว่าปกติ จขกท.ก็ไม่ใช่แฟนสเต็ก ก็เลยไม่รู้ว่าแบบนี้อร่อยเมพแค่ไหน แต่มนุษย์ผู้เขมือบวัวเป็นสรณะอย่างพอล1พอล2 พร้อมใจกันยกนิ้วให้ฮ่ะ ว่าของเค้าอาหย่อยจริงๆนะเธอว์ Empire STEAK of Mind มันเป็นอย่างงี้นี่เอง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:20:19

ความคิดเห็นที่ 10 นอกจากน้องหมูน้องวัวแล้ว เรายังสั่ง Lamb Chop มาด้วย รสชาติไม่เลวทีเดียว แต่ จขกท.กินยังไม่ทันรู้รสเลย น้องแกะก็หายวับไปกับตา ลงไปอยู่ในพุงนังสองพอลซะแล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:21:02

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากคลานออกมาจาก Peter Luger จขกท.ก็ถือโอกาสทำการรัฐประหาร นังสองพอลเอ๋ย พวกนายได้กินสเต็กสมใจอยากแล้วนะ ทีนี้ก็ถึงตาชั้นกับเจ๊แคธี่บ้างล่ะ โฮะๆๆๆๆ ว่าแล้วเราก็ลากสองหนุ่มมาต่อที่ Lady M ร้านเค้กในดวงใจของเราสองสาว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:21:32

ความคิดเห็นที่ 12 อูยยยยย วันนี้มีเค้กลายหมากรุกด้วย น่ากิ๊นนนนน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:21:57

ความคิดเห็นที่ 13 น่าเสียดายที่ร้านคนเย๊อะเยอะ ไม่มีที่นั่งให้ชาวคณะทั้งสี่เลย เราเลยต้องนั่งฝ่าลมหนาวกินเค้กใน Central Park แทน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:22:23

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนแรก จขกท.ว่าจะสั่งเค้กหมากรุกแล้วล่ะค่ะ ถ้าไม่เหลือบไปเห็น Mille Crepe รสกาแฟซะก่อน แต่ออกมาอร่อยสู้ Mille Crepe สูตรดั้งเดิมไม่ได้เลยอ่ะ เพราะเหมือนเค้าแค่โรงผงกาแฟผสมลงไป แทนที่จะมีแต่เครปนิ่มๆ ครีมหอมๆ ดันมีเจ้าผงกาแฟมาคอยขัดความนวลลิ้นซะได้ โธ่เว้ย หมากรุก! หมากรุก! เอาเค้กลายหมากรุกของหนูคืนม๊าาาาาาา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:22:39

ความคิดเห็นที่ 15 หม่ำเค้กเสร็จ เราก็เข้ามาหลบหนาวใน Metropolitan Museum of Art หรือที่เรียกสั้นๆว่า The Met จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:22:56

ความคิดเห็นที่ 16 อย่างที่บอกในทู้ก่อนๆว่า The Met นั้นเป็นมิวเซียมที่ใหญ่บรมโคตรใหญ่ คงยากที่จะดูให้ครบทุกแผนกใน 1 วัน ฉะนั้นก่อนไปควรถามตัวเองก่อน ว่าอยากดูส่วนไหนที่สุด จะได้ budget เวลาถูกนะขอรับ งวดนี้ จขกท.ถามตาพอล2 ผู้ไม่เคยเหยียบ The Met มาก่อน ว่าเรามีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เฮียอยากดูอะไร คำตอบที่ได้ก็คือ "ไออยากดูอียิปต์" จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:23:19

ความคิดเห็นที่ 17 เนื่องจากเรามีเวลาจำกัด เราเลยได้แต่วิ่งผ่านแผนกอียิปต์ไปอย่างด่วนๆ ป้ายเปิ้ยนี่ไม่ได้อ่านหรอกฮ่ะ -_- อารยธรรมอียิปต์มีมาตั้งกะสมัย 5000 ปีก่อนโน้น ฉะนั้นงานที่จัดแสดงในมิวเซียมก็มีเก่าบ้างใหม่บ้างคละเคล้ากันไป โลงมัมมี่อันนี้ใหม่หน่อยค่ะ อายุประมาณ 3000 ปีเท่านั้น จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:23:47

ความคิดเห็นที่ 18 เก๋ากึกส์จริงต้องยกให้รูปแกะสลักไม้นี้ฮ่ะพี่น้อง อายุแค่ 4500 ปีเบาะๆ >_< ดูแล้วก็อดทึ่งไม่ได้นะเนี่ย ที่คนสมัยโน้นสามารถแกะสลักรูปคนได้สัดส่วนเหมือนจริงขนาดนี้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:24:03

ความคิดเห็นที่ 19 นอกจากกองทัพมัมมี่แล้ว ในมิวเซียมก็มีคอลเล็คชั่นกระดาษปาปีรุสสวยๆมาให้ชมกันอีก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:25:01

ความคิดเห็นที่ 20 โฮ่ เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าที่อียิปต์ปลูกไวน์ได้ด้วย! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:25:14

ความคิดเห็นที่ 21 นั่นโลงเหรอคะ อันใหญ่ควายมากอ่ะ ไม่รู้แบกไปฝังกันได้อย่างไรหนอ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:25:31

ความคิดเห็นที่ 22 จขกท.สะดุดตากับปาปีรุสรูปนี้ค่ะ แม่เจ้า กิ๊บเก๋ยูเรก้าขนาดนี้ เอาไปแขวนโชว์ที่ MOMA (Museum of Modern Art) เนียนๆได้เลยนะฮะเนี่ย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:26:04

ความคิดเห็นที่ 23 นี่ก็หลักศิลาจารึกอียิปต์กระมัง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:26:24

ความคิดเห็นที่ 24 ใครแปลออกยกมือขึ้น จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:26:39

ความคิดเห็นที่ 25 จากนั้นเราก็เคลื่อนพลมายังไฮไลต์ของแผนกอียิปต์ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:26:55

ความคิดเห็นที่ 26 ซึ่งก็คือ The Temple of Dendur อันนี้ใหม่หน่อยค่ะ เพราะสร้างเมื่อประมาณ 2000 ปีที่แล้ว(เอง) ขออภัยที่ฝีมือถ่ายรูปของ จขกท.ทุยอย่างแรง ใครอยากชมภาพ The Met สวยๆ ก็เชิญที่ทู้มหากาพย์ของคุณ Coffee Blended นะก้าบ Coffee Blended Exploring USA ตอนที่ 23 : The place where I first met, The Met Museum (NYC#2) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10349431/E10349431.html จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:28:49

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนตา Leonardo นี่ใครฟะ อย่าบอกนะว่าเป็นนักโบราณคดี นักโบราณคดีบ้านไหนมือบอนยังเง้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:29:33

ความคิดเห็นที่ 28 แม้ Temple of Dendur จะมีขนาดเล็กกระทัดรัด แต่ จขกท.ว่ามันก็ดูสวยแบบเรียบง่ายดีนะคะ โดยเฉพาะประติมากรรมนูนต่ำที่ประดับอยู่รอบผนัง ช่วยเพิ่มความเท่ให้ตัว temple ได้อีกหลายขีด นี่ยังไม่นับเสาดอกบัวคู่อันแสนจะกิ๊บเก๋อีกนะเคอะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:29:49

ความคิดเห็นที่ 29 มิวเซียมเค้าไม่ให้คนเข้าไปเดินเล่นใน temple ค่ะ เราก็ได้แต่ยืนชมความงามของมันจากภายนอก ขอบอกอีกทีว่าชอบพวกประติมากรรมนูนต่ำที่ประดับผนังจริงๆ เท่สุดๆ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:30:06

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นแบบนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าอเมริกาไปยก Temple of Dendur มาตั้งกลางกรุงนิวยอร์คได้ไงเนี่ย คำตอบอยู่ข้างผนังของห้องจัดแสดงค่ะ ว่าตอนปี 1963 มีการสร้างเขื่อนที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งจะส่งผลให้โบราณสถานหลายแห่ง รวมทั้ง Temple of Dendur ต้องจมน้ำป๋อมแป๋ม อเมริกาก็เลยไปช่วยอียิปต์ขนย้ายบรรดาโบราณสถานออกมา ทางรัฐบาลอียิปต์เลยขอบคุณ ด้วยการยก Temple of Dendur ให้เมกาแบกกลับไปดูเล่นที่บ้านซะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:30:26

ความคิดเห็นที่ 31 จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ American Wing ซึ่งอยู่ติดกับแผนกอียิปต์ค่ะ ชื่อก็บอกยี่ห้อแล้วว่าต้องเป็นห้องแสดงศิลปะอเมริกัน เพียงแต่ไม่ได้มีแค่ภาพเขียนหรือประติมากรรมให้ชมกันเท่านั้น ยังมีเฟอร์นิเจอร์สมัยพระเจ้าเหาสวยๆ Decorative Arts งามๆให้ชมกันเพลินๆอีกด้วย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:30:44

ความคิดเห็นที่ 32 โคมไฟที่เห็นนี่ ไม่ใช่โคมไฟร้านไอติมสเวนเซนส์นะฮะพี่น้อง! แต่เป็นผลงานของ Louis Comfort Tiffany เจ้าพ่อ Stainglass คนดัง แถมแกยังเป็นลูกชายของผู้ก่อตั้ง Tiffany & Co ร้านเพชรสุดไฮโซด้วยนะเธอว์ ไม่ใช่แค่โคมไฟเท่านั้น ดูลายกระจกรูปข้างๆซะก่อน กุ๊กกิ๊กคิขุกาโม่มากมาย อยากได้มาติดที่บ้านเจงๆ T^T จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:31:15

ความคิดเห็นที่ 33 นอกจากนี้ ใน American Wing ยังมีห้องหับหลากยุคหลายสไตล์ให้ชมกันด้วย ส่วนมากก็จะเรียบๆค่ะ เพราะเป็นการจำลองบ้านของชาวยุโรปรุ่นบุกเบิกที่อพยพมาเมกา สำหรับ จขกท.แล้ว ที่เด็ดขาดชนะเลิศต้องนี่เลย The Frank Llyod Wright Room!! จขกท.เคยไปเที่ยวบ้านที่ออกแบบโดยอัครมหาสถาปนิกคนนี้มาแล้ว ขอบอกว่ามาดูห้องนี้ก็ได้อารมณ์ไม่แพ้กันเลยค่ะ ถ้าใครเป็นแฟนปู่แฟรงค์แต่ไม่มีเวลาถ่อไป Fallingwater หรือ Taliesin ก็แวะมาขัดตาทัพที่ The Met กันได้นะฮะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:31:40

ความคิดเห็นที่ 34 จากนั้น จขกท.ก็เดินวนหาภาพ Madame X อันโด่งดัง เพราะอิฉันมา The Met หลายรอบแล้วแต่ไม่เคยได้ยลภาพนี้ซักที แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยต้องถามเจ้าหน้าเอา ปรากฎรูปไปแอบอยู่บนชั้นสองของ American Wing นี่เอง ภาพ Portrait of Madame X เป็นผลงานของ John Singer Sargent ศิลปิน Impressionist ชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงด้านการวาดภาพเหมือนให้บรรดาไฮโซชาวมะกัน แต่รูปนี้ Madame X ไม่ได้จ้างแกวาดค่ะ Sargent ตะหากที่ปลาบปลื้มในความงามของ Madame X จนต้องเอ่ยปากขอร้องให้เธอมาเป็นแบบให้ Sargent ส่งภาพนี้ไปประกวดที่ Salon ที่ปารีส และมันก็สร้างความฮือฮาให้ผู้ชมอย่างมาก ด้วยความเซ็กซี่เกินมาตรฐานยุคโน้น แถมเวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้น สายเดี่ยวข้างนึงของชุดยังหล่นแหมะมากองที่แขนนางแบบ เผยให้เห็นไหล่ขาวผ่องเต็มๆ เล่นเอาจินตนาการผู้ชมเปิดเปิงกันถ้วนหน้า จนตอนหลัง Sargent ต้องวาดสายเสื้อใหม่ดังที่เห็นในภาพปัจจุบัน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:32:02

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วนนี่เป็นเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่จัดแสดงใน Salon ฮ่ะ เซะซี่ดีไหมฮะหนุ่มๆ ส่วน Madame X นั้น เค้าก็เดากันว่าน่าจะเป็น Virginie Gautreau สาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลี่ยน ที่ภายหลังได้แต่งงานกับนางแบงค์ชาวฝรั่งเศสผู้ร่ำรวย เธอเป็นที่ฮือฮาของวงสังคมปารีสมาก ด้วยความสวยสง่า ผิวขาวราวไข่มุก และความที่เจ๊ชอบแอบสามีไปมีกิ๊ก -_- แม้ว่า Sargent จะไม่ยอมเปิดเผยว่าใครคือ Madame X แต่เจ๊ Virginie ก็เละเป็นโจ๊กไปเรียบร้อย ถึงขั้นต้องรีไทร์ตัวเองออกจากวงสังคมปารีสกันเลยทีเดียว ด้าน Sargent เองก็อ่วมไม่แพ้กัน เพราะนักวิจารณ์หาว่าภาพ Madame X นี้ไร้รสนิยมและยั่วยวนเกินกว่าเหตุ ส่งผลให้ Sargent ทนบากหน้าอยู่ปารีสต่อไปไม่ได้ และต้องเผ่นไปอยู่อังกฤษแทน ปัจจุบัน Portrait of Madame X ถือเป็นงานที่โด่งดังที่สุดของ Sargent เพราะมันถ่ายทอดความงามแบบลึกลับ และความเย้ายวนแบบแทงกั๊กของ Madame X มาได้อย่างยอดเยี่ยม จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:32:18

ความคิดเห็นที่ 36 เซ็คชั่นสุดท้ายของ The Met ที่เราได้ดูในวันนั้นก็คือแผนก Arms and Armor เข้าไปก็เจอะขบวนอัศวินที่รอต้อนรับผู้มาเยือนทันที จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:32:40

ความคิดเห็นที่ 37 นี่ชุดเกราะ Made in England ค่ะ แม่เจ้า ชุดเกราะท่านช่างอลังการดาวล้านดวงมาก >_< แต่อย่างงี้เวลาออกรบจริงๆนี่ คงหลบโจทก์เก่ายากหน่อยนะฮะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:33:16

ความคิดเห็นที่ 38 แน่นอนว่าเรียบง่ายเน้นประโยชน์ใช้สอยแบบนี้ ก็ต้องเป็นชุดเกราะของอัศวินเยอรมันชัวร์ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:33:48

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่ใช่แค่เกราะเท่านั้นที่อลังได้ ดู accessory ของพี่ท่านซะก่อน!! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:34:15

ความคิดเห็นที่ 40 แต่นี่ เอิ่ม...เค้าตั้งใจให้ศัตรูเห็นแล้วขำกลิ้งจะได้แทงกลับง่ายๆรึเปล่าเนี่ย -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:34:44

ความคิดเห็นที่ 41 อันนี้เกราะมือ ใส่แล้วน่าจะขยับได้ทุกท่วงท่า ไม่หวั่นแม้วันข้าศึกมามาก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:35:01

ความคิดเห็นที่ 42 อร๊ายยยย ดาบสวยยยยยย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:35:23

ความคิดเห็นที่ 43 ฝั่งตรงข้ามมีชุดเกราะของนักรบญี่ปุ่นซึ่งเท่ไม่แพ้กันให้ชมเปรียบเทียบด้วยนะฮะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:35:54

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่ใช่แค่ความเท่ ความฮาพี่ยุ่นก็ไม่เป็นสองรองใคร หน้ากากน้องต่ายพิโรธเนี่ยนะ ใส่แล้วคู่ต่อสู้จะกลัวไหมอ่ะ -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:36:25

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วนดาบซามูไรนี่ แค่ยืนดูเฉยๆก็รู้สึกได้ถึงความคบกริบแล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:37:09

ความคิดเห็นที่ 46 จบแล้วค่ะทัวร์ The Met แบบขำๆ ถ้าใครอยากชมภาพวาดสวยๆ เชิญได้ที่ทู้เก่าตอนที่ 3 นะขอรับ ออกจาก The Met เราก็เดินฝ่าลมหนาวมายังตึก Rockefeller Center กันต่อ ด้านหน้าตึกยังเป็นลานสเก็ตอยู่เลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:38:19

ความคิดเห็นที่ 47 พวกเรากะขึ้นไปชมวิวบน Top of the Rock ซึ่งเป็นจุดชมวิวบนยอดตึก Rockefeller ค่ะ ถ้าอยากขึ้นไปชมวิว แนะนำให้ซื้อตั๋วจากตรงบู้ทเล็กๆหน้าตึก (ตรงที่มีรูปเทพเจ้าสายฟ้า) ตอนเราไปบู้ทโล่งสนิท ไม่มีคนต่อแถวเลย จะได้ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วยาวเฟื้อยข้างในอาคาร จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:39:04

ความคิดเห็นที่ 48 ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปชมวิว เราก็เดินผ่านนิทรรศการซึ่งเล่าถึงประวัติความเป็นมาของตึก Rockefeller Center อ่านแล้วก็เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่า Rockefeller Center ถูกสร้างขึ้นในปี 1939 ซึ่งตรงกับยุค Depression ที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังวอดวาย ตลาดหุ้นเจ๊งกะบ๊ง เล่นเอาคนหมดตัวกันเป็นแถบๆ แบบคุณพี่ในภาพคนนี้ แต่อัครมหาเศรษฐีน้ำมัน John D. Rockefeller, Jr. ก็บ่ยั่น ยังคงเดินหน้าสร้าง Rockefeller Center ต่อไป โดยอาสัว Rockefeller, Jr. เดิมพันอนาคตของโครงการนี้ ไว้กับบริษัทน้องใหม่ที่ชื่อ RCA หรือที่รู้จักในนาม Radio Corporation of America ซึ่งเป็นสถานีวิทยุเจ้าแรกๆของประเทศอเมริกา ที่เสนอตัวมาเช่าที่ในตึก โชคดีที่กิจการของ RCA เจริญรุ่งเรือง แถมตอนหลังยังแตกหน่อ ออกมาเป็นสถานีโทรทัศน์ NBC ที่ปัจจุบันออฟฟิสก็ยังคงอยู่ใน Rockefeller Center จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:39:26

ความคิดเห็นที่ 49 โม้มาเยอะแล้ว มาชมวิวด้านบน Top of the Rock กันดีกว่าค่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:39:46

ความคิดเห็นที่ 50 แหม่ นี่เป็นเอ็มไพร์สเตทรุ่นรักชาติหรือคะเนี่ย วิวข้างบนก็สวยเชียว แต่ลมแรงและหนาวมาก >_< รูปเลยออกมาไม่ค่อยชัด เพราะ จขกท.ถ่ายไป มือสั่นพั่บๆไป จริงๆเราน่าจะมาตอนพระอาทิตย์กำลังตก คงจะแจ่มยิ่งกว่านี้ แถมจะได้เห็นวิว Central Park ด้วย มาตอนกลางคืน มืดตื้ดตื๋อ มองไม่เห็นเซ็นทรัลพาร์คเรย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:40:04

ความคิดเห็นที่ 51 จากนั้น ตาพอล2ก็เสนอให้เรามาหม่ำข้าวเย็นกัน Pete's Tavern ซึ่งเป็นร้านอาหาร/บาร์ที่เก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์ค จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:40:26

ความคิดเห็นที่ 52 ร้านคนเยอะมากๆ แถมที่นั่งก็แสนจะแคบเบียดเสียด แต่บรรยากาศก็คึกคักดีนะฮะ ส่วนอาหารเค้าก็พอใช้ได้นะคะ แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมาย -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:40:43

ความคิดเห็นที่ 53 ปิดท้าย New York City Day 1 กันที่ Grand Central Station ฮ่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:41:04

ความคิดเห็นที่ 54 เช้าแล้วเจ้าข้าเอ๊ย วันนี้แดดดีฟ้าใสเชียว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:41:24

ความคิดเห็นที่ 55 เรานั่งซับเวย์มาโผล่ตรง Manhattan Municipal Building จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:41:38

ความคิดเห็นที่ 56 จากนั้นเราก็เคลื่อนพลลงใต้ไปเรื่อยๆ ผ่าน St. Paul's Chapel โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:42:04

ความคิดเห็นที่ 57 แล้วก็เจอน้อง Wall Street Bull คนดังจนได้ (พร้อมทัวร์จีนกรุ๊ปเบ้อเร่อเลย -_-) ซึ่งแปลว่าเรามาถึงศูนย์กลางการเงินของนิวยอร์คและประเทศอเมริกาเข้าให้แล้ว ภาษาปะกิตเค้ามีคำว่า Bull Market กับ Bear Market ค่ะ โดยถ้าตลาดอยู่ในโหมดกระทิง ก็แปลว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตเจริญรุ่งเรือง ในทางกลับกัน Bear Market ก็หมายถึงเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ราวกับหมีจำศีล นี่ถ้ามี Panda Market คงแปลว่าเศรษฐกิจถึงคราบรรลัยแล้ว เพราะแพนด้าเอาแต่นอนทั้งปีทั้งชาติ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:42:31

ความคิดเห็นที่ 58 เราเดินต่อไปจนถึง Battery Park เพื่อนั่งเรือเฟอร์รี่ไปหา Statue of Liberty หรือเทพีเสรีภาพ หรือเจ้าแม่หัวหนาม ตามคำนิยามของคุณ yuki_shimi คิวคนรอขึ้นเฟอร์รี่นี่อย่างยาวเลย โชคดีที่พวกเราจองตั๋วออนไลน์มาแล้ว ก็เลยมีบัตรเบ่ง ไม่ต้องต่อคิว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:43:20

ความคิดเห็นที่ 59 เห็นเจ๊เทพีอยู่ลิบๆโน่นแล้ว สารภาพเลยค่ะ ว่า จขกท.มาเที่ยวนิวยอร์คเหยียบ 10 ครั้ง แต่ไม่เคยได้มาเยือนเจ๊เทพีเลย ด้วยความขี้เกียจ >_< เผอิญงวดนี้ตาพอล2งอแงอยากมา จขกท.เลยติดร่างแหขึ้นเฟอร์รี่มาอย่างช่วยไม่ได้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:44:04

ความคิดเห็นที่ 60 ท้าวความกันหน่อยค่ะ ว่าเทพีเสรีภาพนี่ เป็นของขวัญสานสัมพันธ์ที่ฝรั่งเศสมอบให้อเมริกาในปี 1886 และมีชื่อเต็มๆว่า Statue of Liberty Enlightening the World ด้วยเหตุฉะนี้เจ๊เทพีเลยต้องชูคบเพลิง คนที่ปิ๊งไอเดีย เอาเจ๊เทพีไปตั้งบนเกาะกลางน้ำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ Frédéric-Auguste Bartholdi ประติมากรชาวฝรั่งเศส ผู้ออกแบบเจ๊เทพีเนี่ยแหล่ะ ซึ่งแกก็เข้าใจคิดจริงๆ ลองจินตนาการดูนะฮะ ว่าถ้าท่านเป็นผู้อพยพจากยุโรปในสมัยโน้น ที่หนีสงคราม หนีความแร้งแค้น หนีความขัดแย้งทางศาสนา เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมกา และภาพแรกที่ได้เห็นเมื่อเรือแล่นเข้าเทียบฝั่ง เป็นอนุสาวรีย์อันเขื่องที่ชื่อเทพีเสรีภาพ ไม่อยากจะคิดเลยว่าขนแขนจะสแตนด์อัพแค่ไหน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:44:25

ความคิดเห็นที่ 61 จขกท.ก็เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเจ๊เทพีแกไม่ได้ยืนเฉยๆ แต่กำลังก้าวขาอยู่ O_o นั่นก็เพราะเท้าเจ๊เทพีมีโซ่แตกวางอยู่ข้างๆ (แต่จากรูปมองไม่เห็นโซ่ ) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แทนถึงอิสระที่เทพีแห่งเสรีภาพสามารถเดินหน้าฆ่ามัน เอร๊ย เดินหน้าจุดประกายให้ชาวโลกต่อไป จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:44:56

ความคิดเห็นที่ 62 ฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้เมกา เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีเอกราชของสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุฉะนี้ เจ๊เทพีเลยแบกหนังสือที่สลักหน้าปกไว้ว่า July 4th 1776 ซึ่งตรงกับวันประกาศอิสรภาพของเมกานั่นเอง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:45:15

ความคิดเห็นที่ 63 ยอมรับเลยค่ะว่าก่อนมา จขกท.รู้สึกเฉยๆกับการมาทัวร์เทพีเสรีภาพ แต่พอมาแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าของจริงดูดีและยิ่งใหญ่กว่าทีคิดนะเนี่ย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:45:42

ความคิดเห็นที่ 64 ตอนแรกเราก็กะปีนขึ้นไปถึงมงกุฎเทพีเลย แต่ตั๋วเต็มไปถึงพฤษภาแหล่ว นี่ขนาดจองตอนมกรานะเหวย พวกเราเลยต้องเปลี่ยนแผน จองตั๋วเที่ยวมิวเซียมที่อยู่ตรงใต้เท้าเจ๊เทพีแทน เข้าไปก็เจอคบเพลิงยักษ์ทันที จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:46:10

ความคิดเห็นที่ 65 แล้วน้องคนนี้เล่นพิเรนต์อะไรอยู่คะเนี่ย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:46:46

ความคิดเห็นที่ 66 ในมิวเซียมก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเทพีเสรีภาพให้ดูกันจนเอียนอ้วกไปข้างเลยค่ะ อันนี้เป็นภาพคนงานกำลังตีสังกะสีที่เอามากระกอบเป็นตัวเจ๊ เห็นว่าต้องตีให้บางสุดๆ เพราะถ้าสังกะสีหนา น้ำหนักเยอะ โอกาสที่รูปปั้นจะถล่มก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:47:29

ความคิดเห็นที่ 67 จขกท.ก็เพิ่งรู้นี่แหล่ะ ว่า Bartholdi ไปลาก Gustav Eiffel แห่งหอคอยไอเฟลอันโด่งดัง มาร่วมด้วยช่วยสร้างเทพีเสรีภาพด้วย โดยนอกจากคุณไอเฟลคนเก่งจะออกแบบโครงสร้างเหล็กของเจ๊เทพีแล้ว แกยังออกแบบ support ซึ่งแปะอยู่ตามแผ่นสังกะสีที่เห็นในรูปอีกด้วย ซึ่งทำให้สังกะสีสามารถขยับไปตามแรงลม ส่วนรูปล่างนี่ก็เบื้องหลังการถ่ายทำของเจ๊เทพีฮ่ะ ว่าข้างนอกออกจะเจิด แต่ข้างในนี่อีรุงตุงนังเหลือเกิน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:49:31

ความคิดเห็นที่ 68 ติดตามมาเรื่อยๆ พลาดไปบ้างบางครั้ง เดือนนี้ไม่มีใจให้แล้วค่า แปะไว้ก่อนนะคะ จากคุณ : teddy bear in the box เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:49:33

ความคิดเห็นที่ 69 # No กีบ No problem ตามมาเลยค่าคุณ teddy bear in the box ---------------------------------------------------------------------------------------------------- Statue of Liberty เป็นโปรเจ็คต์ร่วมระหว่างฝรั่งเศสและอเมริกา โดยฝรั่งเศสรับหน้าที่ก่อสร้างตัวเจ๊เทพี ส่วนเมกาก็ถมเกาะสร้างฐานไป แต่ปรากฎว่าฝรั่งเศสสร้างเทพีจะเสร็จแล้ว อเมริกายังหาตังค์สร้างฐานไม่ครบเลย -_- หนังสือพิมพ์สมัยโน้นเลยประชดค่ะ ว่า อยากหาเงินสร้างฐานเหรอ ไม่เห็นจะยากเลย ก็เปิดพื้นที่ให้เช่าโฆษณาสิ กร๊ากกกก ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นแรงบันดาลใจของบรรดาป้ายโฆษณาที่ Times Square รึเปล่านะฮะ เหอเหอ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:51:32

ความคิดเห็นที่ 70 แน่นอนว่าเซเลบอย่างเทพี ก็มักจะได้ไปปรากฎตัวตามแคมเปญต่างๆอยู่เนืองๆ อย่างเช่น โครงการรณรงค์ให้คนไปสมัครเป็นทหารเรือในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:51:50

ความคิดเห็นที่ 71 เอ่อ...อันนี้ ต้้งใจไล่ตูรึเปล่าเนี่ย >_< อ่านดีๆปรากฎเป็นแคมเปญให้คนอเมริกันไปเป็นอาสาสมัครในประเทศโลกที่สาม จะได้ไปเปิดหูเปิดตาก่อนกลับมาพัฒนาประเทศ แหม่ พาดหัวได้ชวนดราม่ามากอ่ะ -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:52:15

ความคิดเห็นที่ 72 ปิดท้ายด้วยภาพชายกระโปรงเจ๊เทพีละกันนะขอรับ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:52:35

ความคิดเห็นที่ 73 จากนั้นเราก็นั่งเฟอร์รี่สายเดิม ต่อไปยัง Ellis Island ที่เห็นในภาพ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:53:07

ความคิดเห็นที่ 74 ในช่วงปี 1892-1954 Ellis Island ถือเป็นด่านแรกที่ผู้อพยพต้องผ่านเข้ามา ก่อนที่จะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตในเมกา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:53:28

ความคิดเห็นที่ 75 ว่ากันว่าช่วงพีคๆ มีผู้อพยพถึง 12,000 คน/วัน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:54:49

ความคิดเห็นที่ 76 ที่ต้องผ่านการตรวจสุขภาพและสัมภาษณ์ที่ Registry Room ห้องนี้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:55:08

ความคิดเห็นที่ 77 นี่บรรยากาศ Registry Room สมัยโน้นค่ะ ทำไมดูเหมือนคุกชอบกลฟะ -_- พอล2 เล่าว่าเค้ามีบรรพบุรุษคนนึงที่เดินทางมาเสี่ยงโชคที่เมกา แถมมาแล้วยังตกสัมภาษณ์อีกตะหาก! โชคดีที่ทำอีท่าไหนไม่ทราบ บรรพบุรุษคนนั้นสัมภาษณ์อีกรอบผ่าน ก็เลยได้ตั้งรกรากในเมกาสมใจ ฟังแล้วสยองแทนจริงๆ โดนสถานฑูตเมการีเจควีซ่าก็ว่าช้ำแล้ว ถ้าต้องนั่งเรือเป็นเดือนๆมาแต่ไม่ได้เข้าประเทศนี่จะเฟลขนาดไหนวะเนี่ย T^T จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:55:31

ความคิดเห็นที่ 78 เห็นว่าคนเมกันจะอินมากเวลามาเที่ยวที่นี่ เพราะหลายคนมีปู่ย่าตาทวดที่เคยผ่าน Ellis Island มาก่อน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:55:51

ความคิดเห็นที่ 79 ส่วนเราๆท่านๆที่เหล่ากงเหล่าม่าไม่ได้มาฝ่าวิบากกรรมที่ Ellis Island กับเขา ก็สามารถชมภาพถ่ายเก่าๆสวยๆกันได้เพลินๆค่ะ อย่างนี่ก็ภาพเมืองนิวยอร์คเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:56:14

ความคิดเห็นที่ 80 บอกแล้วจะเชื่อมั๊ยฮะ ว่ารูปนี้นี่ถ่ายตั้งกะปี 1917 โน่น! เป็นภาพชาวอเมริกันจีนที่มาร่วมขบวนระดมทุน New York Bond แหม่ ไอ้เราก็หลงนึกว่าเป็นรูปเทพีตรุษจีนสมัยพระเจ้าเหาซะอีก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:56:34

ความคิดเห็นที่ 81 และก็ตามคาดค่ะ ว่าผู้อพยพจากชาติเดียวกัน มาถึงแล้วก็ต้องเกาะกลุ่มกัน อย่างก๊งยอรมันแกงค์นี้ ที่มาเฮฮาปาร์ตี้ด้วยกันทุกเสาร์อาทิตย์ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:57:06

ความคิดเห็นที่ 82 แต่ชีวิตผู้อพยพก็ไม่ได้สวยหรูนักหรอก อย่างครอบครัวอิตาเลี่ยนบ้านนี้ ที่ต้องเย็บผ้าหลังขดหลังแข็งกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:57:42

ความคิดเห็นที่ 83 มีตัวอย่างพาสปอร์ตยุคดึกดำบรรพ์ให้ชมกันด้วย ว่าแต่ อาเฮียข้างล่างนี่ไปถ่ายรูปติดบัตรร้านไหนฮะเนี่ย เดี๊ยนจะได้ตามไปถ่ายมั่ง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:58:15

ความคิดเห็นที่ 84 เสร็จจาก Ellis Island แล้ว เราก็นั่งเฟอร์รี่กลับแมนฮัตตัน คิวรอขึ้นเรือยาวขนาดนี้ ได้บรรยากาศค่ายผู้อพยพชอบกลแฮะ -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 09:58:44